ฮิญาบ เท่ากับ ความรุนเเรง? ฮิญาบ คือเครื่องหมายการแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ของสตรีมุสลิม การสวมใส่ฮิญาบเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมุสลิมะห์ (ผู้หญิงที่นับถือศาสนาอิสลาม) และการปกปิดเอาเราะห์ (สวนที่พึ่งสงวน) ถือว่าเป็นบทบัญญัติที่สำคัญของอิสลาม หากไม่กระทำถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดต่อหลักการของศาสนา แต่ทว่าการปกปิดหรือการสวมใส่ฮิญาบไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัวว่าเป็นลักษณะหรือรูปแบบใด ทำให้การคลุมฮิญาบจึงมีการสวมใส่ที่หลากหลายและแปลเปลี่ยนไปตามวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ เนื่องด้วย การสวมใส่ฮิญาบ เป็นหลักการที่สตรีมุสลิมได้ถูกกำหนดให้พึงปฏิบัติตาม ดังนั้นสำหรับผู้ศรัทธาแล้วการปฏิบัติตามหลักการของศาสนา ถือเป็นการประกอบความดีและจะได้รับผลบุญตอบแทนในภายภาคหน้า หากเป็นการกระทำดีด้วยความศรัทธาที่แท้จริง จึงทำให้การสวมใส่ฮิญาบของสตรีมุสลิมเป็นเครื่องหมายที่ชี้ให้เห็นว่า เป็นการแสดงออกซึ่งศรัทธาอันแรงกล้าของมุสลิมะห์ ด้วยเหตุนี้เองทำให้สตรีมุสลิม จึงเรียกร้องสิทธิให้กับตัวเองในการที่จะได้สวมใส่ฮิญาบ เพราะบ่อยครั้งที่สังคม ไม่ยอมรับเกี่ยวกับการสวม ฮิญาบของสตรีมุสลิม และไม่ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องของการแต่งกายของสตรีมุสลิม และมองว่าการใส่ฮิญาบจะนำมาซึ่งปัญหา ทำให้สตรีมุสลิมถูกกีดกั้นไม่ให้สวมใส่ฮิญาบในหลายๆสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ หรือจะเป็นโรงเรียนเองก็ดี และเกิดเป็นปัญหามาเนินนานจนถึงปัจจุบัน และสำหรับสตรีมุสลิมแล้ว การสวมใส่ฮิญาบไม่ใช่ผ้าผืนเดียวที่เอาไว้คลุมผม แต่มีความสำคัญไปจนถึงควบคุลมจิตใจ การควบคุมอารมณ์ การควบคลุมกริยามารยาท ซึ่งเป็นการควบคุมทุกอย่างของสตรีมุสลิม หากไร้ซึ่งผ้าคุลมเปรียบได้กับ เพชร ที่ไม่ได้ถูกเก็บไว้ในตู้ ซึ่งไม่ควรค่าแก่การครอบครอง ฉันใดก็ฉันนั้น การคลุมฮิญาบของสตรีมุสลิมก็เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ฮิญาบจึงสำคัญต่อสตรีมุสลิมเป็นอย่างมาก และแน่แท้ว่าการสวมใส่ ฮิญาบไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน การเรียน และในทุกด้านของชีวิต เพียงแค่การสวมใส่เพื่อการภัคดีต่อพระเจ้าเพียงเท่านั้น ฮิญาบในมิติทางด้านเศรษฐกิจ อย่างที่ทราบกันดีว่า การแสดงออกถึงวัฒนธรรมของกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของวัฒนธรรมการแต่งกายเรื่องฮิญาบ เป็นการแสดงที่ไม่ได้ถูกยอมรับจากสากลในอดีต และเมื่อประชากรมุสลิมเพิ่มขึ้น สังคมเริ่มเปิดกว้างขึ้น นำสู่การสามารถแสดงออกถึงวัฒนธรรมได้อย่างเสรี ทำให้การคลุมฮิญาบซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวมุสลิมเข้าสู่เวทีสากลโดยไม่ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด และถูกยอมรับจากเวลาทีนานาชาติ ฮิญาบกับการเข้าสู่สากล วัฒนธรรมการสวมใส่มีมาอย่างเนินนานหลายพันปี และอย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่า การสวมใส่ฮิญาบในอดีตยังไม่ถูกยอมรับและถูกกีดกันสิทธิ ยกตัวอย่างในประเทศไทยเอง ผู้เขียนเคยสังเกตเห็นบัตรประจำตัวประชาชนของคุณแม่ในตอนนั้นจะต้องถ่ายรูปติดบัตรโดยไม่ได้สวมใส่ผ้าคลุม ทั้งที่ในการดำรงชีวิตสวมใส่ผ้าคุลมเป็นปรกติ และเมื่อถ่ายบัตรประชาชนจะต้องถอดผ้าคลุมออก ซึ่งจะเห็นได้ว่าการแสดงออกซึ่งวัฒนธรรมการสวมใส่ฮิญาบยังไม่ได้ถูกตอบรับจากหน่วยงานราชการ และถ้ามองในต่างประเทศ เช่น อิหร่าน ในช่วงก่อนการปฏิวัติ ก็มีกฎเกณฑ์ที่ห้ามสวมใส่ฮิญาบ จึงทำให้เห็นได้ว่าฮิญาบในอดีตไม่ได้ถูกยอมรับซ้ำร้ายในบางครั้ง คนที่สวมฮิญาบโดนกดขี่ข่มเหงด้วยซ้ำ แต่ทว่าในโลกยุคปัจจุบัน ทำให้ฮิญาบถูกยอมรับมากขึ้นและผู้คนที่สวมใส่ฮิญาบก็จะไม่ถูกมองว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด ตัวอย่างเช่น ฮาริม่า อาเดน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนางงามฮิญาบคนแรกของโลก เนื่องจากเธอ ได้เข้าร่วมประกวดนางงามในเวที มินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา และกองประกวดได้เล็งเห็นถึงศักยภาพ ทำให้ฮาริม่า ก้าวสู่วงการแฟชั่น และยังคงเอกลักษณ์ของเธอไว้ โดยการสวมใส่ผ้าคลุมตั้งแต่ตอนประกวด จนโด่งดังในปัจจุบัน และเสื้อผ้าที่ที่ฮาริม่าเป็นที่เธอเป็นนางแบบได้รับการตอบรับอย่างดี จนทำให้สินค้าขาดตลาด จะเห็นได้ว่า ฮิญาบได้ถูกยอมรับจากสากลและไม่ได้ถูกมองว่าเป็นความแตกต่างที่จะต้องกีดกั้นให้ออกไปจากสังคม แต่กลายเป็นว่าฮิญาบที่ในอดีตถูกมองว่าเป็นความแตกต่างและถูกริดรอนสิทธิไม่ให้สวมใส่แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นอัตลักษณ์ที่เข้าไปอยู่ในเวทีสากลและถูกยอมรับเป็นอย่างมากล้น สตรีอิสลามกับการถูกยอมรับในการสร้างแฟชั่นฮิญาบ อย่างที่ทราบกันดีว่าก่อนหน้านี้ฮิญาบไม่ถูกยอมรับจากสากล แต่ปัจจุบันฮิญาบกลับกลายเป็นอัตลักษณ์ที่คนในนานาชาติต่างยอมรับและมองฮิญาบว่าเป็นอัตลักษณ์ที่สวยงาม และนอกจากนี้ในสากลก็ยังให้การยอมรับสตรีที่สวมผ้าคุลมในการสร้างแบรนด์หรือแฟชั่นฮิญาบ เช่น ร้านของอัลนีซา ฮาซีบูวัน ได้เข้าร่วมแสดงแฟชั่นงานสัปดาห์แฟชั่นแห่งกรุงนิวยอร์ก ซึ่งนับได้ว่าเป็นนิมิตหมายอันดียิ่ง เพราะฮิญาบจะได้ถูกเผยแพร่ในเวทีนี้ จะเห็นได้ว่าสากลได้ยอมรับฮิญาบซึ่งแตกต่างในอดีตอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันเมื่อฮิญาบการแต่งกายซึ่งเอกลักษณ์ได้ถูกยอมรับ ผู้ที่สวมใส่ฮิญาบที่มีถานะออกแบบเครื่องแต่งกายฮิญาบก็ได้ถูกยอมรับจากสากลเช่นเดียวกัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นผลดี ทำให้เรารับรู้ได้ว่าฮิญาบจะไม่ใช่เครื่องมือแห่งการถูกกีดกั้น เพื่อไม่ให้คนที่สวมฮิญาบปฏิบัติงานอย่างหนึ่งอย่างใดได้อีกต่อไป และดังเช่นที่ เมลานีย์ เอลติกร์ได้กล่าวว่า ความสวยงามของฮิญาบ เป็นการลบล้างข้อครหาในแง่ลบที่มีต่อฮิญาบ ดังนั้นการแสดงออกในเวทีสากลจะทำให้ผู้คนมองเห็นฮิญาบว่าเป็นเรื่องที่สวยงาม และมองผ่านความกดขี่ ความลิดรอนสิทธิ ความรุนแรง ที่หลายๆเชื่อว่าฮิญาบหมายถึงสิ่งนั้น และเปลี่ยนเป็นมองฮิญาบเป็นเรื่องความงามมาแทนที่ ฮิญาบในมิติทางด้านเศรษฐกิจ การที่ฮิญาบเข้าสู่ตลาดสากล ทำให้หากมองฮิญาบในมิติทางด้านเศรษฐกิจ อาจมองได้ว่า คือเครื่องมือสื่อสารวัฒนธรรม เนื่องจากเมื่อฮิญาบเข้าสู่ความเป็นสากลเมื่อฮิญาบตีตลาดโลกมากขึ้น ท้ายที่สุดฮิญาบได้กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารวัฒนธรรมที่สามรถทำรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการเสื้อผ้ามุสลิมมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เหตุผลหนึ่งมาจากมุสลิมมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และผู้ประกอบการสามารถพัฒนาเสื้อผ้าครองใจกลุ่มประเทศมุสลิมได้ ทำให้เศรษฐกิจที่เกี่ยวกับเสื้อผ้ามุสลิมเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดั่งเช่นในกลุ่มประเทศมุสลิมที่มีขนาดใหญ่ เสื้อผ้ามุสลิมมีการขยายตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งขยายตัวได้ถึงร้อยละ 5.4 ในช่วงปี 2558 – 2560 ที่ผ่านมา และขายตัวได้เร็วกว่ากลุ่มประเทศ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ นั้นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ฮิญาบในถานะที่เป็นเครื่องมือสื่อสารวัฒนธรรมสามารถทำรายได้อย่างมากให้กับผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับฮิญาบ อย่างล่าสุดแบรนด์ NIKE ได้สร้างชุดกีฬาสำหรับสตรีมุสลิม และมีผ้าคุลมแบรนด์ NIKE นั้นก็ทำให้เห็นว่าและการันตีว่า ฮิญาบหากมองในมิติด้านอื่นที่หลากหลายก็จะเห็นในมุมที่ฮิญาบเป็นมากกว่าผ้าคลุมผมแน่นอน บทส่งท้าย เมื่อมองฮิญาบในมุมมองทั่วไป ฮิญาบกลายเป็นผ้าคุลมที่แสนจะธรรมดา และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของส่วนประกอบเครื่องแต่งกาย แต่แล้วหากมองฮิญาบในมิติที่เปลี่ยนแปลงไป จะเห็นได้ว่าฮิญาบเป็นมากกว่าผ้าคุลมธรรมดา ในมิติทางด้านสังคมฮิญาบถูกมองว่าเป็นเครื่องมือแสดงความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ ในขณะที่ฮิญาบเมื่อมองในมิติทางด้านการเมือง ผ้าผืนหนึ่งกลายเป็นเครื่องมือแห่งการต่อรองอย่างสันติวิธี และสุดท้ายฮิญาบในมิติทางด้านเศรษฐกิจ คือเครื่องมือแห่งการสื่อสารวัฒนธรรม เมื่อมองในมุมมองของอีกเรื่องหนึ่งฮิญาบก็ได้กลายเป็นเรื่องราวในเรื่องนั้นโดยปริยาย และท้ายที่สุดทำให้เรื่องฮิญาบ น่าค้นหา เมื่อศึกษาและทำความเข้าใจอย่างจริงจัง