เปิดตัวแล้ว Honda Civic 2021 (FE) รถยนต์นั่งขนาดกลางยอดนิยมของคนไทย ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน เชื่อว่าอย่างน้อย ต้องเห็นเจ้า”ซีวิค”บนท้องถนนอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นโฉมเก่ายอดนิยมอย่าง FD ถัดมาเป็น FB โดยเฉพาะโฉมที่แล้วอย่าง Civic “FC” ที่ครองยอดขายรถยนต์นั่งขนาดกลาง (C-Segment) มาอย่างยาวนาน ขนาดที่รุ่นใหม่ล่าสุดมีข่าวเปิดตัวแล้ว เจ้า Civic FC ก็ยังยึดครองตำแหน่งยอดขายอันดับหนึ่งอยู่ แต่ในเมื่อรุ่นใหม่เปิดตัว ก็ถึงเวลาที่รุ่นเก่าต้องยุติการขาย ซึ่งเมื่อข่าวการเปิดตัวออกมานั้น ก็ได้มีหลาย ๆ เว็ปไซต์ลงรูปภาพของเจ้าซีวิคโฉมใหม่ (FE) พร้อมทั้งเกริ่นว่า “มี Honda SENSING และ เครื่องยนต์ 1.5 เทอร์โบทุกรุ่นย่อย” ผู้อ่านเองก็ได้เข้าไปอ่านความคิดเห็นที่หลาย ๆท่านได้แสดงความเห็นไว้ ซึ่งไปในแนวทางที่ว่า “ถ้ามาในราคาเท่า ๆ เดิม ถือว่าคุ้มค่ามาก” “ให้มาขนาดนี้ คู่แข่งจะขายได้ไหม” เป็นต้น ซึ่งจนถึงบัดนี้ ราคา พร้อมกับรายละเอียดต่าง ๆของเจ้า Civic 2021 (FE) ก็ได้เปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว โดยโฉมใหม่นี้ มีรุ่นย่อยเพียง 3 รุ่นย่อยเท่านั้น ซึ่งราคาของรุ่นเริ่มต้น (EL) อยู่ที่ 964,900 บาท รุ่นกลาง/รองท็อป (EL+) อยู่ที่ 1,009,900 บาท และจบด้วยรุ่นท็อปสุดอย่าง RS ราคาอยู่ที่ 1,199,900 บาท ทำให้หลาย ๆ ท่านคงสงสัยว่า “ได้เครื่องยนต์ 1.5 เทอร์โบ ได้ Honda SENSING เหมือนกัน” เอาตัวถูกสุดก็พอหรือเปล่า จ่ายเงินเพิ่มแล้วได้อะไรเพิ่มมาบ้าง เชิญคุณผู้อ่านเปรียบเทียบจุดหลัก ๆ ตามตารางด้านล่างนี้ โดยผู้เขียนได้แบ่งหมวดหมู่เป็น ภายนอก ภายในและระบบเครื่องเสียง และระบบความปลอดภัย พร้อมทั้งบทสรุปได้ที่ย่อหน้าถัดไปเลยครับผม (อุปกรณ์ใดที่มีครบทุกรุ่นย่อย ผู้เขียนอาจจะไม่ได้นำมาใส่ในตารางนะครับผม) ขอบคุณภาพจาก : Honda Thailand ส่วนของภายนอกนั้นจะเห็นได้ว่า รุ่น EL และ EL+ เหมือนกันทุกประการ เรียกว่ามองไม่ออกกันเลยทีเดียว ขนาดไฟตัดหมอก ยังมีมาให้ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นกันเลย (รุ่นก่อนหน้า (FC) ตัวล่างสุดยังไม่ให้มา) ลายและขนาดล้อก็ยังเหมือนกัน จะต่างแค่เพียงกระจกมองข้างที่พับอัตโนมัติ แต่ถ้าขยับไปที่รุ่นท็อปอย่าง RS หลาย ๆ สิ่งก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นล้อทั้งใหญ่ขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีดำ อุปกรณ์ตกแต่งที่เป็นโทนสีดำ Smart Key Card เท่ ๆ และไฟหน้าแบบ LED ที่ได้มาเพียงรุ่นย่อยเดียวของโฉมนี้ ดูจากอุปกรณ์ภายนอกแล้ว EL และ EL+ ก็ให้มาครบ ๆ แล้ว ส่วน RS ก็เพิ่มอุปกรณ์ตกแต่งขึ้นมา แต่ส่วนถัดไปก็คืออุปกรณ์ภายในและระบบเครื่องเสียงนั้น จะมีความต่างของ EL EL+ และ RS กันในหลาย ๆ ส่วนกันเลย ขอบคุณภาพจาก : Honda Thailand มาถึงคิวของอุปกรณ์ภายในและระบบเครื่องเสียง ในจุดนี้แหละที่จะแสดงความต่างกันของ EL และ EL+ ได้ เนื่องจาก EL (รุ่นเริ่มต้น) ได้เบาะเป็นเบาะผ้า ส่วน EL+ เป็นต้นไปจะได้เบาะหนังคนขับปรับไฟฟ้าพร้อมพวงมาลัยหุ้มหนัง (RS ได้ตกแต่งด้วยด้านสีแดงด้วย) ส่วนเบาะคนนั่งมีเพียง RS ที่ได้ปรับไฟฟ้า ออปชั่นอื่น ๆ ที่มีในเพียงรุ่น RS คือ ระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย โหมดสปอร์ต จอเครื่องเสียงขนาด 9 นิ้วที่มี Apple CarPlay ไร้สาย พร้อมระบบนำทางในตัว มาตรวัดที่ขนาดใหญ่กว่า (10.2 นิ้ว) แป้นเบรก คันเร่งแบบสปอร์ต Honda CONNECT และช่องเชื่อมต่อ USB มากสุดที่ 4 ช่อง ท่านผู้อ่านคงเห็นแล้วว่า ราคาที่กระโดดไปของรุ่นแพงสุดอย่าง RS ทำให้ได้อุปกรณ์ภายในรถต่างๆที่เหนือกว่าทั้งรุ่น EL และ EL+ แบบเน้น ๆ กันไปเลย ส่วนไฮไลท์ที่เรียกเสียงฮือฮาอย่าง Honda SENSING “ทุกรุ่นย่อย” ให้มาขนาดนี้ เรื่องความปลอดภัยยังจะมีจุดไหนที่ต่างกันบ้าง เลื่อนขึ้นเพื่อดูตารางเปรียบเทียบความปลอดภัยของแต่ละรุ่นได้เลย ขอบคุณภาพจาก : Honda Thailand เรื่องระบบความปลอดภัยให้มาครบ ๆ ตั้งแต่รุ่นล่างสุดจริง ๆ โดยไฮไลท์สำคัญคือ Honda SENSING ซึ่งมีระบบช่วยเหลือการขับขี่คือ ระบบเตือนกันชนพร้อมช่วยเบรก ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนส์ ระบบเตือนและดึงรถกลับเมื่อรถออกนอกกเลนส์ ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วตัวรถแปรผันตามรถคันหน้า และระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ ที่ให้มาตั้งแต่รุ่นล่างสุดนั่นเอง ส่วนที่แตกต่างก็มีเพียง Honda LaneWatch(กล้องมองด้านซ้ายของตัวรถ) และ ระบบเตือนผู้โดยสารด้านหลัง ที่จะมีเพียงรุ่น RS เท่านั้น ซึ่งก่อนที่จะไปถึงย่อหน้าสรุป อีกจุดพิจารณาหลัก ๆ เลยคือ “สีของตัวรถ”และ “สีภายใน” เนื่องจาก สีแดง มีเฉพาะรุ่นท็อปอย่าง RS เท่านั้นเลย ส่วนสีฟ้าอ่อนก็มีเฉพาะรุ่น EL และ EL+ แต่สีอื่น ๆ นั้น ได้แก่สีขาว เทา ดำ และเงิน ก็สามารถเลือกกันได้ทุกรุ่น แต่ถ้าคุณผู้อ่านเลือกรุ่น EL หรือ EL+ ถ้าเลือกสีภายนอกเป็นโทนเข้มอย่างสี ดำ หรือ เทา จะได้ สีภายในเป็นสีเบจ(ครีม) แต่ถ้าเลือกสีภายนอกเป็นโทนอ่อน สีฟ้า ขาว หรือ เงิน ถึงจะได้ภายในเป็นสีดำ แต่ถ้าคุณผู้อ่านเลือกรุ่น RS แล้ว จะมีสีภายในเป็นสีดำด้ายแดงเท่านั้น สรุปแล้วซื้อรุ่นย่อยไหนดี ? จากตารางเปรียบเทียบ คงทำให้คุณผู้อ่านเห็นถึงความแตกต่างของแต่ละรุ่นย่อย เมื่อลองเทียบกับราคาแล้ว รุ่นเริ่มต้นอย่าง EL ราคา 964,900 บาท เป็นรุ่นที่มีราคาค่อนข้างคุ้มค่าที่สุดเนื่องจากให้เครื่องยนต์ที่มีพละกำลังดี ระบบความปลอดภัยกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพื้นฐานค่อนข้างครบถ้วนแล้ว (เกินกว่าที่คู่แข่งในตลาดราคาใกล้เคียงกันทั้งด้านพละกำลัง ความปลอดภัย และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก(*บางรุ่น/บางอุปกรณ์)) แต่ก็มีจุดพิจารณาคือสิ่งของที่ขาดไปในบางอย่างเช่น “เบาะหนัง” (หรือท่านที่ชอบเบาะผ้าอยู่แล้ว เพราะข้อดีของเบาะผ้าก็คือไม่อมความร้อน แต่อมฝุ่นและเลอะง่าย ชอบความคุ้มค่า อยากเซฟเงินในกระเป๋าก็จิ้มตัว EL ได้เลย) เพราะถ้าเป็นเบาะที่ไม่ได้มีถุงลมนิรภัยฝังอยู่ ก็คงเปลี่ยนได้อย่างสบายใจ แต่ด้วยความที่ให้ถุงลมนิรภัยฝังมาในตัวเบาะด้วย ทำให้สิ่งนี้เป็นจุดพิจารณาหลัก ที่ทำให้คุณผู้อ่าน เลือกที่จะเพิ่มเงินอีก 45,000 บาท เพื่อเป็นรุ่น EL+ ซึ่งได้เบาะหนัง และยังได้ออปชั่นอื่น ๆ เพิ่มมาด้วย คือ เบาะคนขับปรับไฟฟ้า กระจกมองข้างพับอัตโนมัติ ช่องเชื่อมต่อ USB เพิ่มเป็น 3 ตำแหน่ง และลำโพงที่เพิ่มเป็น 8 ตำแหน่ง แต่ถ้าเท่านี้ยังไม่พอ อยากได้ออปชั่นครบ ๆ ไปเลยก็ต้องเพิ่มเงินอีกจำนวน 190,000 บาท เลยที่เดียว เพื่อที่จะอัพเกรดเป็นรุ่นท็อปสุดอย่าง RS ซึ่งให้ชุดแต่งมาแบบครบ ๆ ทั้งภายนอกและภายใน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความบันเทิงในรถที่ดีกว่า แบบครบจบไปเลย หลังจากอ่านบทความนี้ ผู้เขียนเองหวังว่าคุณผู้อ่านจะเลือกรุ่นรถที่ตรงใจคุณผู้อ่านมากที่สุด และใช้รถอย่างมีความสุขนะครับ ขอบคุณคุณผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้จนจบครับผม ขอบคุณครับ #CKTW สุดท้ายนี้ ขอฝากร้านเสื้อผ้าเล็ก ๆ+ เคสแอร์พอต > Twining.stuff ครับผม ใครชอบบทความแบบนี้ ฝากกดติดตามไว้ได้เลยครับผม ขอบคุณอีกครั้งครับผม ติดต่อ twiningck@gmail.com ไลน์ : @643iaglo เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !