HOW TO การเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉบับDek64 เป็นการเขียนจากประสบการณ์ของผู้เขียน ผู้อ่านสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้ ไม่ควรกำหนดหรือบังคับตนเองจนเกินไปและไม่ควรปฏิบัติตามบทความหากผู้อ่านคิดว่าไม่เหมาะหรือคิดว่ามันไม่ใช่แนวทางที่เราจะทำได้ ผู้อ่านอาจสามารถควรหาแนวทางที่เหมาะสมกับตนเองจากบทความนี้ได้ การเขียน HOW TO การเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉบับDek64 เป็นเพียงการชี้แนะจากประสบการณ์หรือกิจวัตรประจำวันของผู้เขียนเอง การเตรียมพร้อมเช่นนี้อาจจะเหมาะสมกับผู้เขียน แต่อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมกับผู้อ่านบางท่าน เพราะฉะนั้นไม่ควรลอกเลียนแบบจนเกิดความเครียดต่อตนเอง เพราะแต่ละบุคคลย่อมมีความถนัดและมีแนวทางเป็นของตนเองขั้นตอนแรก : การกำหนดเป้าหมายการหาความสนใจของตนเองหรือสิ่งที่ตัวเราทำได้ดี : ยกตัวอย่างเช่น หาความชอบของตัวเองโดยการพิจารณาตนเองให้ถี่ถ้วน ว่าตนเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร สนใจอะไร มีความถนัดด้านไหนบ้าง หากไม่รู้ว่าตนเองชอบอะไรหรือถนัดด้านไหนก็สามารถทำแบบสอบถามจากอินเทอร์เน็ตเผื่อนำมาประกอบการตัดสินใจได้ หาคณะที่ตนเองอยากศึกษาต่อ จากความชื่นชอบ สนใจ หรือทำได้ดี : การหาคณะที่ตนเองอยากศึกษาต่อนั้นเป็นสิ่งที่ยากมากๆของคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนคณะอะไร เราจึงควรคิดว่าหากเราไปเรียนคณะนั้นแล้วเราจะมีชีวิตเป็นอย่างไร ทนได้ต่อสภาพแวดล้อมเหล่านั้นไหม เรียนไหวไหม มันเหมาะสมกับเราหรือไม่ เราต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน คิดให้รอบคอบ เพราะการเลือกคณะที่จะศึกษาต่อเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ มันอาจจะกำหนดอาชีพในอนาคตของเราได้เลย และสิ่งที่สำคัญคืออย่าให้ผู้อื่นมามีอิทธิพต่อการเลือกคณะของเราและอย่าให้ผู้อื่นมากำหนดอนาคตของเรา เราเป็นผู้ที่จะต้องเรียนและจะต้องดำรงชีวิตไปกับมันเอง เราจึงควรเลือกคณะที่เราคิดว่าเราจะเรียนและมีความสุขจริงๆ ไม่ควรเลือกเพราะถูกบังคับหรือเลือกตามเพื่อน หากทำเช่นนั้นเราจะเสียโอกาสหลายๆอย่างในชีวิตตนเอง และจะเกิดผลเสียต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน ( แต่เราก็ต้องอย่าลืมว่าคณะที่เราตัดสินใจจะเรียน เราจะต้องมีความสุขไปกับมัน เราต้องไม่กดดันตัวเองจนเกินไป เพราะเราต้องอยู่กับคณะนี้ไปอีก3-6ปีเลย หากเรียนแล้วไม่มีความสุขมันก็อาจจะส่งผลเสียต่อไปในอนาคตได้ ) และปัจจัยอื่นๆหลายๆอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการเงินที่จะได้รับจากอาชีพนั้น ผู้เขียนคิดว่าหากเราเลือกคณะหรืออาชีพที่เรารักหรือสนใจจริงๆ เราจะสามารถหาเงินเลี้ยงชีพได้โดยที่ไม่ต้องเกิดความทุกข์ เพราะสิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตของเราอย่างหนึ่งก็คือพลังกายและพลังใจ หากเรามีพลังใจต่ออาชีพนั้นเราจะทำมันโดยไม่สนว่ามันจะเหนื่อยสักแค่ไหนอย่างไรเราก็ต้องหาเงินเลี้ยงชีพได้อย่างแน่นอนคณะที่เราอยากจะเข้าต้องสอบอะไรบ้าง : เราควรรู้ว่าคณะที่เราจะเข้านั้นจะต้องสอบอะไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่นหากอยากเข้าคณะแพทยศาสตร์ เราจะต้องสอบ GAT / PAT1 / PAT2 / O-NET / 9วิชาสามัญ / กสพท.(ความถนัดแพทย์) หากเรารู้แล้วเราจะต้องสอบอะไรบ้างเราจะสามารถเตรียมตัวได้อย่างถูกต้องและถูกจุด การเขียนกำหนดการในการสอบต่างๆลงในปฏิทินเผื่อคำนวณวันและเวลาในการสอบ การกำหนดระยะเวลาให้เร็วที่สุดหลังจากรู้เป้าหมายของตนเอง : การกำหนดระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้า ฝึกในข้อสอบในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ถ้าเริ่มช้าก็ดีกว่าไม่เริ่มเลย รู้วันนี้เริ่มวันนี้ก็จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้อย่างสำเร็จการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง : การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่หากได้ทำเป็นประจำแล้วเราจะชินไปกับมันเอง เราควรกำหนดเวลาในการอ่านหนังสือในแต่ละวันและกำหนดวิชาที่จะอ่านหนังสือในแต่ละวันด้วยขั้นตอนต่อมา : การเตรียมความพร้อมในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย สามารถเตรียมความพร้อมในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ดังนี้ (จากประสบการณ์ของผู้เขียน)- ดูระยะเวลาว่าเราเหลือเวลาได้เตรียมตัวอีกเท่าไหร่ และเราควรแบ่งเวลาในการอ่านหนังสืออย่างไร ยกตัวอย่างเช่นเรามีเวลาเหลือประมาณ3ปี 2ปีแรกนั้นเราควรเก็บเนื้อหาทุกวิชาให้เสร็จก่อนขึ้นม.6 เพราะหากขึ้นม.6แล้วเราจะมีงานเยอะมากๆ มีกิจกรรมหลายๆอย่าง ทำให้เรียนหรืออ่านหนังสือไม่เต็มที่และอาจจะเก็บเนื้อหาของแต่ละวิชาไม่ทัน แต่ถ้าหากยังเก็บเนื้อหามัธยมปลายทั้งหมดไม่จบก็ไม่เป็นไร เพราะมีคนจำนวนมากที่เก็บเนื้อหาไม่ได้ทั้งหมด แต่เวลา1ปีสุดท้ายนั้นเราควรจะทบทวนและทำข้อสอบจริงของปีที่ผ่านๆมา แต่ถ้าจะพยายามเก็บเนื้อหาของมัธยมปลายให้ทันก็ควรเก็บให้เร็วที่สุด เพราะระยะเวลาที่เหลือเราจะต้องทบทวนจากสรุปใหม่อีก1รอบและต้องฝึกทำข้อสอบย้อนหลัง- ใช้ปฏิทินตั้งโต๊ะในการเขียนเวลาในการอ่านหนังสือแต่ละวัน และควรกำหนดระยะเวลาในการอ่านหนังสือในแต่ละวัน เพราะการเขียนเวลาในแต่ละวันจะกระตุ้นให้เราต้องอ่านหนังสือทุกวันและจะทำให้เราอ่านหนังสือได้ตามที่เรากำหนดระยะเวลาไว้ - ในการทำแบบฝึกหัดหรือข้อสอบย้อนหลังนั้น ควรจับเวลาตอนทำ ควรรู้ว่าข้อสอบวิชานี้ให้เวลาเท่าไหร่ การจับเวลาจริงในการทำข้อสอบจะทำให้เราวางแผนในการทำข้อสอบให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดได้ เราจะรู้ว่า1ข้อเราสามารถทำได้กี่นาที - การอ่านหนังสือของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันออกไป ในการอ่านหนังสือของผู้เขียน ผู้เขียนจะทำดังนี้ 1.) รอบแรกให้อ่านเรื่องนั้นๆอย่างผิวเผิน ไม่ต้องอ่านละเอียดมาก ให้อ่านผ่านๆ ไม่ลงลึก 2.) รอบที่2 อ่านให้ละเอียด ลงลึก ทำความเข้าใจในแต่ละหัวข้อให้ได้และอ่านให้ครอบคลุมที่สุด ห้ามอ่านผ่านๆ 5.) รอบที่3 คือการพูดกับตัวเอง ว่าหัวข้อนี้เรามีความเข้าใจอย่างไร ให้พูดอธิบายออกมาจนกว่าเราจะเข้าใจ ( ต้องทำความเข้าใจจริงๆ ไม่ควรท่องจำ! ) 4.) รอบที่4 อ่านเสร็จด้วยความเข้าใจ แล้วให้จดสรุป โดยการเขียนหัวข้อนั้นเอาไว้และสรุปตามความเข้าใจของเราในแต่ละหัวข้อ หากสรุปเสร็จให้นำเอามาเทียบกับหนังสือที่เราอ่านว่าเราเขียนครบถ้วนหรือตกหล่นสิ่งสำคัญไปหรือไม่ หากเขียนข้อมูลใดตกหล่นหรือผิดพลาดก็ให้แก้ไขแล้วทำความเข้าใจในหัวข้อนั้นๆใหม่ 5.) รอบที่5 ก่อนที่จะสอบหรือเมื่อมีเวลาว่าง ให้นำเอาสิ่งที่เราจดสรุปมานั่งอ่านอีกรอบ- การทำแบบฝึกหัดหรือข้อสอบเก่ามีความสำคัญมากๆ เพราะหากเราได้ทำข้อสอบเก่าๆแล้ว เราจะรู้ว่าแพทเทิร์นในการออกข้อสอบวิชานี้เป็นอย่างไร ผู้ออกข้อสอบจะออกประมาณไหน/แนวไหน และจะทำให้เราจับจุดของการออกข้อสอบนั้นได้ หากใครได้ทำข้อสอบเก่าของปีก่อนๆจะได้เปรียบกว่าผู้ที่ไม่ได้ทำข้อสอบเก่า เพราะฉะนั้นข้อสอบเก่ามีความสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ- ในการทำข้อสอบเก่าในแต่ละครั้งเราควรทำดังนี้จึงจะได้คะแนนดี (ในแบบฉบับของผู้เขียน) 1.) กำหนดเกณฑ์การทำข้อสอบในแต่ละครั้ง ยกตัวอย่างเช่น การทำข้อสอบในรอบแรกควรจะเป็นรอบที่คะแนนน้อยที่สุดและรอบต่อๆมาควรจะได้คะแนนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเราจะต้องทำข้อสอบนั้นๆจนกว่าจะได้คะแนนเต็ม อาจจะต้องทำหลายๆรอบแต่การทำเช่นนี้คือการอุดรอยรั่วของการทำข้อสอบฉบับนั้นๆ และความทำข้อสอบเก่าอย่างต่ำ3พ.ศ. 2.) ทำข้อสอบเก่ารอบที่1 โดยการทำด้วยตัวเองทุกข้อ หากทำเสร็จก็นับคะแนน ( คะแนนในรอบที่1จะน้อยก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ควรเครียดและกดดันตัวเองจนเกินไป เพราะหากได้คะแนนน้อย เราต้องคิดว่าตัวเราเองก็สามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้ ทำผิดตอนนี้ดีกว่าไปทำผิดในข้อสอบ! ) 3.) ก่อนทำข้อสอบเก่ารอบที่2 ให้หาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตจากข้อที่เราไม่รู้ก่อน หาให้ละเอียดมากที่สุดหรืออาจจะนำเอาข้อมูลนั้นมาจดสรุปลงในสมุดจดสรุปด้วยก็ได้ การทำข้อสอบในรอบนี้ไม่ควรดูเฉลย ก.) ข.) ค.) ง.) จ.) ที่เขาเฉลยมาเพราะควรหาข้อมูลและควรจำข้อมูลที่เราหาเพิ่มเติมไปให้ได้ ( การจำข้อมูลในที่นี้คือการทำความเข้าใจกับข้อมูลที่เราหา ไม่ใช่ท่องจำ ) 4.) หลังจากหาข้อมูลแล้ว ก็ควรทำข้อสอบในรอบที่2 โดยที่ไม่ดูข้อที่มูลที่หาไป ควรทำข้อสอบด้วยความเข้าใจจริงๆ หากข้อไหนไม่มั่นใจหรือไม่เข้าใจก็ควรจะวงไว้ก่อน พอทำเสร็จให้นับคะแนน การทำข้อสอบในรอบที่2ควรจะได้คะแนนเยอะกว่ารอบแรก หากยังไม่ได้คะแนนเต็มก็ควรทำข้อสอบรอบที่3 5.) หลังจากทำข้อสอบในรอบที่2เสร็จแล้วยังไม่ได้คะแนนเต็ม เราควรมานั่งอ่านที่จดสรุปไว้และดูเฉลย ก.) ข.) ค.) ง.) จ.)เลย เพราะเราจะได้รู้ว่ามันควรตอบข้อไหนแน่ เราผิดพลาดอะไรยังไง ควรทำความเข้าใจจริงๆไม่ควรจำว่าข้อนี้ตอบอะไร ข้อนั้นตอบอะไร 6.) หลังจากได้ทบทวนข้อสอบอีกรอบแล้วก็ทำข้อสอบรอบที่3 หลังจากทำเสร็จก็นับคะแนน คะแนนในรอบนี้ควรดีกว่ารอบที่ผ่านๆมา หากได้คะแนนเต็มแล้วก็สามารถไปทำข้อสอบวิชาอื่นได้ แต่หากยังไม่ได้คะแนนเต็มเราควรจะทำข้อสอบรอบที่4หรือรอบต่อๆไป เพราะการทำให้ได้คะแนนเต็มคือการอุดรอยรั่วของข้อสอบนั้นๆ 7.) ทำข้อสอบพ.ศ.อื่นๆด้วย ยกตัวอย่างเช่น การทำข้อสอบย้อนหลัง3พ.ศ. การทำข้อสอบย้อนหลัง5พ.ศ. หรือการทำข้อสอบย้อนหลัง15พ.ศ. ( ทางที่ดีเราควรจะทำข้อสอบย้อนหลังประมาณ3-5พ.ศ. เพราะหากทำข้อสอบย้อนหลังมากกว่า6ปี จะเป็นข้อสอบที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนหลักสูตรให้ทันสมัยและตรงกับการเรียนและสอบในตอนนั้น และข้อสอบปีล่าสุดเป็นข้อสอบที่สำคัญมากๆ ควรจะต้องทำข้อสอบปีล่าสุดด้วย ) - ก่อนสอบประมาณ2-3เดือน ควรทำข้อสอบ ไม่ควรอ่านหนังสือแล้วเพราะมันจะไม่ทัน และเป็นระยะเวลาที่กระชั้นชิด ควรฝึกฝนข้อสอบ หากใครที่อ่านหนังสือยังไม่จบ ก็ควรทำข้อสอบในระหว่างนี้อยู่ดี เพราะการทำข้อสอบจะช่วยเราได้มากในการสอบนั้นๆสุดท้ายนี้ผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านบทความนี้จะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย และผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านบทความนี้จะนำประสบการณ์เหล่านี้ไปปรับใช้ให้เข้ากับตนเองได้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้อ่านเองข้อความจากผู้เขียน : เราต้องเชื่อว่าตัวเราเองสามารถพัฒนาได้ เพราะไม่มีคำว่าสายไปสำหรับคนที่จะลุกขึ้นมาทำหรอกค่ะ หากเริ่มตอนนี้ก็ดีกว่ายังไม่ได้เริ่ม เริ่มตอนนี้ก็ไม่ได้แปลว่ามันสายไปหรือช้าเกินไป แต่มันแปลว่าเราเริ่มที่จะพัฒนาตนเองแล้วต่างหากภาพปกโดย Freepikรูปภาพเนื้อหา จัดทำ/รูปภาพโดยหมั่นโถว ห้ามนำไปดัดแปลงหรือนำรูปไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ขอบคุณค่ะ“ Made by Mantou and others / Take pictures from Mantou and others. Do not modify or use images without permission. Thank you.”