หากพูดถึงการเดินทางไปต่างประเทศในยุคโควิด เพื่อนๆอาจจะคิดว่ามันยุ่งวุ่นวายมากเลยใช่ไหมคะ จริงๆแล้วมันไม่ได้ยุ่งขนาดนั้นเลยค่ะ วันนี้ M. จะมาพูดถึงการเดินทางไปประเทศแอฟริกาใต้ โดยครั้งนี้เป็นการเดินทางโดยลำพัง ที่ทั้งสนุกและตื่นเต้น จนทำให้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ตั้งแต่การทำวีซ่าจนถึงการเดินทางไปที่แอฟริกาใต้เพราะหวังว่าอาจะได้ช่วยให้เพื่อนๆที่กำลัง ลังเลได้ตัดสิน ใจง่ายขึ้น ♥ การทำวีซ่าก่อนการเดินทางในการเดินทางครั้งนี้ เราจะเดินทางไปยังที่ประเทศแอฟริกาใต้ค่ะ โดยหากเพื่อนๆอยากเดินทางไปเที่ยวแอฟริกาใต้ไม่ถึงเดือน เพื่อนๆไม่จำเป็นต้องทำวีซ่าเลยค่ะ แต่ว่าในครั้งนี้เราอยากจะใช้เวลาในการเจอเพื่อนและคนรู้ใจ รวมถึงอยากจะท่องเที่ยวหลายๆที่ เราเลยตัดสินใจเป็น visitors visa ค่ะ โดยรายละเอียดที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่ามีดังนี้ค่ะ เอกสารการยื่นวีซ่า แบบฟอร์ม BI-84 ที่กรอกข้อมูลสมบูรณ์เรียบร้อยแล้วโดยสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ : http://www.dirco.gov.za/พาสปอร์ตตัวจริง พร้อมสำเนารูปถ่าย 2 ใบ ขนาด 35 มม. X 45 มม. หน้าตรง ฉากหลังสีขาวหลักฐานแสดงถึงการเดินทาง เช่น ตั๋วเครื่องบิน , Confirmed booking air-ticketหลักฐานแสดงถึงที่พัก ในแอฟริกา เช่น Booking โรงแรมหลักฐานทางการเงิน เช่น Bank Statement , Book Bank , Bank Certifficate Credit Card 3 เดือนกรณีประกอบธุรกิจส่วนตัว ใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทกรณีเป็นพนักงานบริษัท ใช้จดหมายรับรองจากบริษัท(นายจ้าง) ที่ระบุว่า คุณเป็นพนักงานของบริษัท และได้รับอนุญาตให้ลาไปเที่ยวแอฟริกาใต้ ตั้งแต่วันที่.....ถึงวันที่.....จดหมายเชิญจากบริษัทฯ ในแอฟริกาใต้ (ระบุวันที่ ที่คุณจะต้องไปเข้าร่วม)ค่าธรรมเนียมสำหรับวีซ่า สามารถโทรเช็คกับเจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ ในการทำวีซ่าในครั้งนี้เราจะต้องเดินทางไปที่ ตึก M Thai Tower, All Seasons, ชั้นที่ 12, 87 ถ. วิทยุ แขวง ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร หรือเพื่อนๆสามารถเดินทางไปตามแผนที่นี้ได้เลยค่ะ : แผนที่สถานเอกอัครราชทูตแอฟริกาใต้แต่ก่อนที่เพื่อนๆจะเดินทางไปทำวีซ่า อย่าลืมที่จะทำการนัดหมายวัน-เวลาก่อนนะคะ เพราะในสถานการณ์โควิดแบบนี้ทางสถานทูตจะเปิดรับเป็นช่วงเวลาเท่านั้นค่ะ โดยเพื่อนๆสามารถทำการนัดหมายผ่านอีเมลนี้ได้เลยค่ะ : bangkok.consular@dirco.gov.za ตัวอย่างการนัดหมายวัน-เวลาในการเดินทางไปทำวีซ่า ในการทำวีซ่าในครั้งนี้เราจะต้องเดินทางไปที่ ตึก M Thai Tower, All Seasons, ชั้นที่ 12, 87 ถ. วิทยุ แขวง ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร หรือเพื่อนๆสามารถเดินทางไปตามแผนที่นี้ได้เลยค่ะ : แผนที่สถานเอกอัครราชทูตแอฟริกาใต้ แต่ก่อนที่เพื่อนๆจะเดินทางไปทำวีซ่า อย่าลืมที่จะทำการนัดหมายวัน-เวลาก่อนนะคะ เพราะในสถานการณ์โควิดแบบนี้ทางสถานทูตจะเปิดรับเป็นช่วงเวลาเท่านั้นค่ะ โดยเพื่อนๆสามารถทำการนัดหมายผ่านอีเมลนี้ได้เลยค่ะ : bangkok.consular@dirco.gov.za หลังจากการยื่นเอกสารและชำระค่าธรรมเนียมที่สถานทูตแล้ว เพื่อนๆจะต้องรอทางสถานทูตดำเนินการเป็นเวลา 10-15 วัน เมื่อวีซ่าของเพื่อนๆพร้อมแล้วทางสถานทูตจะติดต่อกลับเพื่อให้เเข้าไปรับวีซ่าตามที่เดิม เพียงเท่านี้วีซ่าของเราก็พร้อมแล้วค่ะ วีซ่าพร้อม ใจพร้อม ออกเดินทางกันได้แล้ว ในการเดินทางครั้งนี้เราได้เดินทางไปกับ Ethiopian Airlines โดยเดินทางเป็นเวลาทั้งหมด 18 ชั่วโมง แบ่งเป็น Bangkok Suvarnabhumi (BKK), Thailand - Addis Ababa (ADD), Ethiopia เป็นเวลา 9ชั่วโมง เราจะมาต่อเครื่องที่นี่ค่ะ โดยเวลาที่เรามารอเครื่องที่นี่ก็อยู่ที่ประมาณ 3-4 ชั่วโมง จากนั้นเราจะนั่งต่อจาก Addis Ababa (ADD), Ethiopia - Johannesburg (JNB), South Africa. เป็นเวลาอีก 6 ชั่วโมงโดยประมาณค่ะ 18 ชั่วโมงแห่งการเดินทาง ถ้าเพื่อนๆกลัวเบื่อก็โหลดหนังรอไว้ได้เลยนะคะ เมื่อพร้อมแล้วเราก็มาเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่าค่ะ จริงๆแล้วการเดินทางครั้งนี้เราจะบินจาก จ.เชียงใหม่ เพื่อที่จะไปขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิค่ะ ตัวอย่างผลตรวจ RT-PCR ในการใช้ยืนยันเดินทาง การเดินทางภายในประเทศบางสายการบินยังจะต้องโชว์ ข้อมูลของการได้รับวัคซีน หรือ ATK อยู่ค่ะ แต่ว่าไหนๆเราจะเดินทางไปต่างประเทศแล้ว เราจำเป็นจะต้องใช้ ผลตรวจโควิด RT-PCR ในการยืนยันก่อนขึ้นเครื่องๆ ดังนั้นจะลืมไม่ได้เลยนะคะ พอเดินทางมาถึงสนามบินสุววรณภูมิ เราก็ต้องเดินไปรับกระเป๋าเดินทางก่อนค่ะ เนื่องจากการเดินไปต่างประเทศเราค่อนข้างที่จะมีสัมภาระเยอะ นั่นก็คือ กระเป๋าเดินทาง 2 ใบ และกระเป๋าLaptop อีก 1 ใบเป็น 3 ใบค่ะ โดยจอที่แสดงหมายเลขของสายพานรับกระเป๋าจะอยู่ระหว่างทางเดิน เราสามารถเช็คได้ว่า ไฟล์ทของเราจะไปรับกระเป๋าได้ที่สายพานไหน พอเราได้กระเป๋าครบแล้ว เราก็จะมุ่งหน้าไปชั้น 4 เพื่อทำการเช็คอินแต่หากเพื่อนๆไม่แน่ใจว่าจะต้องไปเช็คอินแถวไหน ช่องไหน เพื่อนๆสามารถเดินไปเช้คได้ที่สกรีนจอใหญ่แบบนี้ได้เลยนะคะ โดยเพื่อนๆสามารถเช็คจากเวลา อย่างของเราไฟล์ทบิน ตอน 01.50น. ADDIS ABABA เพื่อนๆอาจจะงงว่า อ่าว ไหนบอกว่าไปแอฟริกาใต้ ใช่ค่ะ เราจะเดินทางไป แอฟริกาใต้ แต่ว่าต้องไปต่อเครื่องที่ ADDIS ดังนั้นไม่ต้องตกใจไปนะคะ ถ้าหา ประเทศปลายทางของเราไม่เจอ และเมื่อเราทำการเช็คเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทราบแล้วว่า เราจะต้องไปเช็คอินที่ แถว F ก็ทำการเคลื่อนย้ายกระเป๋าไปนั่งรอแถวๆนั้นได้เลยค่ะ เมื่อเราหาแถว F เจอแล้ว ก็นั่งรอเช็คอินได้เลยค่ะ มาถึงก่อนเวลามันดีกว่าเสมอนะคะเพื่อนๆ อย่างลืมเผื่อเวลาด้วย เคาท์เตอร์จะเปิดให้เช็คอินก่อนเวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงนะคะ ในระหว่างนี้หากหิวก็เดินไปหาอะไรกินก่อนได้เลยค่ะ แผนที่ชั้น 4 สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อถึงเวลาเช็คอิน เราก็สามารถไปต่อแถวเพื่อเช็คอินและทำการโหลดกระเป๋า จากนั้นเราก็จะเดินเข้าไปรอที่เกทค่ะ แต่ก่อนที่เราจะไปถึงเกทของเรานั้น เราจะต้องผ่านในส่วนของจุดตรวจคนเข้าเมืองเพื่อแสตมป์พาสปอร์ตของเราค่ะ หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังเกทของเราได้เลย เพื่อนๆสามารถเดินตามป้ายข้างในได้เลยค่ะ ไม่มีสับสนแน่นอน ครั้งนี้เราจะไปรอกันที่ E1 เลี้ยวขวาไปกันได้เลยค่ะ >_<มาถึงเกท E1 แล้วค่ะ แต่ประตูยังไม่เปิด เพื่อนๆสามารถเดินชมของต่างๆในบริเวณนี้ได้เลยค่ะ หรือถ้าหากยังรู้สึกหิวอยู่ ก็ไปหาอะไรทานก่อนขึ้นเครื่องก็ได้นะคะ อย่างเราเนี่ย หิวได้ตลอดเวลา ก็เลยจะขอไปเดินหาอะไรอร่อยๆมารองท้องเพิ่มอีกซักหน่อย ♥ เมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่อง เราก็ไปกันเลยค่ะ เพราะไฟล์ทรอบดึกแบบนี้ เริ่มง่วงแล้วค่ะไฟล์ทนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่ นั่งสบายๆกันเลยค่ะ เพราะช่วงโควิดแบบนี้อาจจะยังไม่มีคนเดินทางมากเท่าไหร่ ดังนั้นถ้าเพื่อนๆมีที่นั่งข้างว่างๆแบบนี้ก็สามารถนอนได้เลยนะคะ เพราะต้องเดินทางหลายชั่วโมง นอนหลับเอาแรงกันก่อนดีกว่า หรือถ้าหากเพื่อนๆรู้สึกเหงา ไม่ได้เตรียมหูฟังมา ก็สามารถขอจากเจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ แต่ในครั้งนี้เราเตรียมซีรีย์มาดูอย่างดี ดังนั้นเราจะยังไม่ใช้หูฟังชุดนี้ค่ะ เมื่อเครื่อง take-off ไปซักพักก็จะมีอาหารมื้อแรกมาเสิร์ฟค่ะ เพื่อนๆสามารถเลือกได้เลยว่าจะรับเป็นไก่ หรือ เนื้อค่ะ รวมถึงเครื่งดื่มด้วย ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้ ชา กาแฟ หรือ โซดาต่างๆ แจ้งกัับทางพนักงานได้เลย พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อนอีกแล้ว เลยคิดว่าจะขอหลับซักนิดแล้วค่อยตื่นมาดูหนัง เที่ยวบินนี้ไม่มี WIFI นะคะ และไม่สามารถซื้อแพคเกจใดๆได้เลย ดังนั้น อย่าลืมหาโหลดหนังโปรดมาดู หรือจะดูหนังที่สายการบินเตรียมไว้ก็ได้ค่ะ หลับจนเหนื่อย ตอนนี้ก็ตื่นมาเติมพลังค่ะ 🤣🤣 ล้อเล่นค่ะ พอเราเดินทางมาได้พักใหญ่ๆ คิดว่าน่าจะใกล้เช้าแล้ว ก็จะมีอาหารมื้อที่ 2 มาเสิร์ฟค่ะ หากเพื่อนๆรู้สึกว่ายังรู้อิ่มอยู่เลย จะให้เจ้าหน้าที่เก็บไว้ให้ก่อนก็ได้นะคะ หรือเพื่อนๆจะเก็บพวกขนมปังใส่กระเป๋าไว้เลยก็ได้ค่ะ เพราะเดี๋ยวเราต้องไปรอต่อเครื่อง หนทางยังอีกยาวไกล เดินทางคนเดียวต้องดูแลตัวเองดีๆนะคะ อย่าให้ตัวเองได้หิว 😜😜 พอเดินทางมาถึง Addis Ababa , Ethiopia. ก็จะมีรถบัสเล็กแบบมารับค่ะ เนื่องจากเครื่องจอดค่อนข้างไกลจากตัวอาคาร แต่เพื่อนๆไม่ต้องกังวลนะคะ ว่าเราจะรู้ได้ไงว่าต้องไปทางไหน เพราะมีเจ้าหน้าที่คอยบอกค่ะ พอมาถึงตัวอาคารก็จะมีป้ายตามทางแบบนี้ค่ะ อย่างเรามาต่อเครื่อง เราก็จะเดินตามป้ายที่มีคำว่า Transfer ค่ะ ก็จะพาเราไปในจุดที่เราต้องต่อเครื่อง ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ พอเราเดินมาเรื่อยๆผ่านจุดตรวจกระเป๋าต่างๆแล้ว เราก็จะเจอป้ายบอกทางของเกทเราค่ะว่า เราจะต้องเดินไปทางซ้ายหรือขวา หากเพื่อนๆไม่แน่ใจว่า เราจะต้องไปรอเกทอะไร ก็นำ Boarding pass ใมือขึ้นมาเช็คให้แน่ใจว่า เราต้องไปเกทไหนกันแน่ พอแน่ใจแล้ว ก็เดินตามป้ายไปเลยค่ะ อย่างของเรา บอกว่าเราต้องไปที่ GATE A6 เราก็เลี้ยวขวา เดินตามทางไปเลยค่ะ คอยดูว่า ป้าย A6 อยู่ที่ไหนเราก็ไปรอตรงนั้นได้เลย เมื่อเราหาเกทของเราเจอแล้วก็นั่งรอ นอนรอ ต่อไปได้เลยค่ะ เรามาถึงที่นี่ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด จนพระอาทิตย์ขึ้น เราเลยถือโอกาสเดินชมพระอาทิตย์ขึ้นไปพลางๆ พร้อมกับหยิบขนมปังในกระเป๋ามาทาน มีความสุขไปอีกแบบค่ะ ชมพระอาทิตย์ขึ้นจนอิ่มใจแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางอีกครั้งแล้วค่ะ ผ่านมาครึ่งทางแล้ว เดี๋ยวเราจะเดินทางต่อไปที่ Johannesburg , South Africa ไฟล์ทนี้จะเป็นการเดินทาง 6-7 ชั่วโมง อีกอึดใจเดียวก็จะถึงแล้วค่ะ เช้าที่แสนสดใส จนแสบตา 🤣🤣 อีกเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น เราจะเดินทางถึง แอฟริกาใต้แล้วค่ะ เมื่อเครื่อง Take-off ไปซักพัก เราก็จะได้รับอาหารค่ะ น่าทานเช่นเคย ในส่วนของเครื่องดื่ม เพื่อนๆสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ ว่าต้องการดื่มน้ำผลไม้ ชา หรือกาแฟ แต่เช้าๆแบบนี้ กาแฟร้อนเป็นอะไรที่ดีมากเลยค่ะ ☕และแล้ว เราก็มาถึงแอฟริกาใต้เป็นที่เรียบร้อยค่ะ😍😍 ก่อนที่เครื่องละ Landing จะมีเจ้าหน้าที่มาแจกเอกสารให้กรอก เป็นเอกสารเกี่ยวกับการเดินทางของเราค่ะ เมื่อเรากรอกเอกสารเสร็จ ก็จะมีเจ้าที่ตรงจุดตรวจคนเข้าเมืองมารอรับค่ะ เมื่อเราไปถึงยังสนามบิน Johannesburg เราก็จะต้องผ่านจุดตรวจคนเข้าเมือง เราจะต้องโชว์ผลตรวจ RT-PCR และปั๊มพาสปอร์ตค่ะ ในส่วนนี้ไม่สามารถถ่ายรูปหรือใช้โทรศัพท์ได้เลย จึงไม่มีรูปมาให้เพื่อนๆได้ดูค่ะ แต่หลังจากที่เราผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เราก็ต้องเดินมารอรับกระเป๋าเดินทาง ซึ่งเดินไม่ไกลจากจุดตรวจคนเข้าเมืองเท่าไหร่ค่ะ เมื่อเราได้รับกระเป๋าแล้ว อย่าลืมตรวจให้แน่ใจว่าคือกระเป๋าของเรา และไม่มีอะไรที่เสียหายนะคะ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ก็ไปลุยในแอฟริกาใต้กันได้เลยยยยยWelcome to South Africa. เป็นยังไงกันบ้างคะ กับการเดินทางจากประเทศไทยไปแอฟริกาใต้ ถึงแม้จะเป็นการเดินทางคนเดียว มันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร แถมยังสนุกีกด้วยค่ะ การได้เดินทางไปที่ไหนคนเดียว มันทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้นจริงไหมคะ? 🥰🥰 หวังว่าการทำ How to เดินทางไปต่างประเทศคนเดียวในครั้งนี้ จะเป็นประโยชนและช่วยให้เพื่อนๆรู้สึกกล้า และมีกำลังใจในการเดินทางคนเดียวมากขึ้น เพราะการเดินทางมันคือการออกไปสนุก ออกไปเก็บโมเมนต์ดีๆ ถ้าหาเพื่อนๆมีคำถามหรืออยากแนะนำอะไรเพิ่มเติมก็คอมเม้นท์ไว้ได้เลยนะคะ วันนี้ M.ขอตัวไปท่องแอฟริกาใต้ต่อ ♥ Have a nice day ka. รูปภาพหน้าปก โดย Machyp. จาก Canva.comรูปภาพที่1โดย Taryn Elliott จาก Pexelsรูปภาพประกอบโดย Machyp.เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !