Apple ได้วางจำหน่าย iPad รุ่นใหม่เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2563 โดยเจ้า iPad รุ่นใหม่นี้เป็นรุ่นที่หลายคนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะดีไซน์ที่มีการปรับเปลี่ยนใหม่ทำให้หน้าตาคล้าย iPad Pro มาก วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับไอแพดรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า iPad Air 4 iPad Air 4 ได้มีการออกแบบดีไซน์หน้าจอใหม่ทั้งหมดที่มีรูปแบบคล้ายกับเจ้าตัว iPad Pro พร้อมจอภาพ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว มาพร้อมกับ Touch ID ที่รวดเร็วใช้งานง่าย และปลอดภัยโดยเป็นการย้ายไปอยู่ที่ปุ่ม Power เนื่องจากเจ้าตัว iPad Air 4 ได้มีการตัดปุ่ม Home ออกนั่นเอง จอภาพ Liquid Retina จอภาพ Multi‑Touch แบล็คไลท์แบบ LED ขนาด 10.9 นิ้ว (แนวทแยง) พร้อมเทคโนโลยี IPS ความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล ที่ 264 พิกเซลต่อนิ้ว (ppi) จอภาพขอบเขตสีกว้าง (P3) การแสดงผลแบบ True Tone เคลือบสารกันรอยนิ้วมือ จอภาพแบบ Full Lamination เคลือบสารกันแสงสะท้อน การสะท้อนแสงกลับ 1.8% ความสว่าง 500 นิต รองรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 2) กล้อง iPad Air 4 มาพร้อมกล้องหลังที่มีความละเอียด 12MP (f/1.8) ที่รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60fps และถ่าย slo-mo ได้ 240fps กล้องหน้ามีความละเอียด 7MP (f/2.2) รองรับ FaceTime HD และ Smart HDR ทำให้ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด 1080p ที่ 60fps ความคิดเห็นส่วนตัวคิดว่ากล้องที่ให้มาถือว่าเพียงพอถ่ายรูปออกมาคมชัด สวยงาม หรือใช้วิดีโอคอลภาพก็ชัดเจน สเปค iPad Air 4 มาพร้อมชิปประมวลผล A14 Bionic พร้อมสถาปัตยกรรม 64 บิตNeural Engine ซึ่งเป็นชิปที่ใช้ใน iPhone 12 ซึ่งเป็นชิปตัวใหม่จาก Apple รับรองได้ในการใช้งานที่จะราบรื่นไม่มีสะดุด IPad Air 4 รุ่น wifi 64GB ราคา 19,900 บาท 256GB ราคา 24,900 บาท iPad Air 4 รุ่น wifi+Cellular 64GB ราคา 24,400 บาท 256GB ราคา 29,400 บาท ภายในกล่องมาพร้อมกับเจ้าตัว iPad Air4 สายชาร์จ USB‑C และอะแดปเตอร์แปลงไฟ ขนาด 20 วัตต์ รองรับ Apple Pencil 2 ที่สามารถวางแปะกับตัวเครื่องก็เป็นการชาร์จไปในตัวเพิ่มความสะดวกมากอีกขึ้น ด้านบนของเป็นปุ่มเปิด/ปิดที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ปลดล็อกตัวเครื่องด้วยลายนิ้วมือ Touch ID ในตัว สรุปส่งท้ายก่อนจากกัน iPad Air 4 นี้เหมาะกับผู้คนที่ต้องการเอาไปใช้งานทั่ว ๆ ไป หรือสำหรับนักเรียน นักศึกษาที่ต้องการไว้ใช้ในการเรียนหรือสำหรับคนที่อยากได้ iPad ที่หน้าตาคล้าย iPad Pro แต่มีงบน้อยก็สามารถเลือกใช้ได้เหมือนกัน ซึ่งมีให้เลือกอยู่สองรุ่นคือ รุ่น Wifi (ไม่สามารถใส่ซิมมือถือได้) และ Wifi+Cellular (ใส่ซิมมือถือได้) ในส่วนตัวคิดว่าหากใช้งานที่บ้านหรือที่ทำงานทั่วไปแค่รุ่น Wifi ก็ถือว่าเพียงพอ ส่วนใครคนไหนที่มีการใช้งานที่ต้องพกออกไปนอกสถานที่ ไปพบลูกค้าเลือกใช้รุ่น Cellular ที่ใส่ซิมได้น่าจะเหมาะกว่า หวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงได้รับความรู้จากการรีวิวครั้งนี้ ไปประกอบการตัดสินใจในการซื้อนะคะ ขอบคุณค่ะ apple.com : ภาพปก สีที่ 1-5 / ภาพ1 / ภาพ2 / ภาพ3 อัปเดตความรู้ไอทีใหม่ๆอีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !