หลังจากการเปิดตัวของซีรีส์ iPhone 11 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ ในประเทศไทยเรียกได้ว่า Apple ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากกับการเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้สมาร์ทโฟนซีรีส์ดังกล่าวจะเปิดตัวมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่หลายๆ คนก็ยังคงไม่สามารถเลือกรุ่นที่เหมาะสมกับตัวเองได้ ซึ่งในครั้งนี้ผมจะขอแนะนำความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสองรุ่นนี้ เพื่อให้ทุกคนสามารถเลือกได้ว่าตัวเองเหมาะกับรุ่นไหนที่สุดครับ1. ความสะดวกในการพกพาในปัจจุบันคนเรามักจะพกพาสมาร์ทโฟนติดมือไปด้วยในทุกที่และทุกเวลา ทำให้ขนาดของสมาร์ทโฟนมีอิทธิผลต่อการตัดสินใจในการซื้อของผู้บริโภคมากขึ้น อย่างไรก็ตามก็ยังคงขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้ใช้งานซึ่งก็มีความแตกต่างกันไปในไลฟ์ไสตล์การใช้ชีวิตแต่ละคน อย่างเช่น ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่มักจะมีการพกพากระเป๋าถือติดตัว ก็อาจจะไม่ติดขัดสำหรับการพกพาสมาร์ทโฟนที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักที่ค่อนข้างมาก โดยในสองรุ่นที่เราจะนำมาเทียบกันนั่นก็คือ iPhone 11 ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่และน้ำหนักที่มากกว่าเล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับผู้ชายก็อาจจะชื่นชอบในสมาร์ทโฟนที่สามารถพกพาได้สะดวก ก็อาจจะให้ความสนใจไปที่ iPhone 11 Pro ซึ่งมีขนาดที่ค่อนข้างจะพอดีมือและสามารถใส่กระเป๋ากางเกงได้สะดวกกว่า เนื่องจากผู้ชายส่วนใหญ่ก็คงจะไม่ได้มีกระเป๋าถือที่พกติดตัวตลอดเวลาเหมือนผู้หญิง2. กล้อง Telephoto (เลนส์ซูม) จำเป็นต้องใช้หรือเปล่าต่อมาเราจะมาพูดถึงความแตกต่างในเรื่องกล้องของสองรุ่นนี้ซึ่งก็คือเรื่องกล้อง โดยในรุ่น iPhone 11 จะให้กล้องมาด้วยกัน 2 ตัว ประกอบด้วย เลนส์หลักและเลนส์มุมกว้าง ในขณะที่รุ่นพี่อย่าง iPhone 11 Pro ให้กล้องมาถึง 3 ตัว โดยสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา คือ เลนส์เทเลโฟโต้สำหรับการถ่ายภาพซูม ทำให้ในรุ่นโปรสามารถถ่ายภาพได้มุมมองที่หลากหลายกว่า แต่ในชีวิตจริงกล้องที่ดูจะสามารถใช้ประโยชน์ได้มากกว่าก็คงจะเป็นกล้อง Ultrawide ซึ่งก็เป็นเพราะในการถ่ายภาพอะไรก็ตาม หากเราต้องการภาพที่มีมุมมองที่ใกล้มากขึ้น เราก็ยังสามารถเดินเข้าไปใกล้วัตถุที่เราต้องการได้ แต่หากในกรณีที่มีพื้นที่จำกัดและที่เราไม่สามารถถอยหลังเพื่อเก็บภาพในมุมมองที่มากขึ้นได้ กล้อง Ultrawide ก็จะเป็นกล้องที่ช่วยคุณได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งเลนส์ซูมนั้นก็อาจจะมีความจำเป็นในคนเฉพาะกลุ่มเสียมากกว่า อย่างเช่น นักถ่ายภาพที่อาจจะมีความต้องการใช้เลนส์ซูมในบางกรณี อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองเป็นหลัก ว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากกล้องเลนส์ซูมมากแค่ไหน ซึ่งหากคุณไม่ได้ต้องการเลนส์ซูมก็อาจจะเลือกเป็น iPhone 11 ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้วครับ3. ความละเอียดของจอภาพอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน คือ ความสวยงามของหน้าจอแสดงผล ซึ่งหากเทียบกันในสองรุ่นนี้รุ่นที่ได้เปรียบกว่าก็คงจะเป็นในรุ่นโปร ซึ่งหน้าจอที่ให้มาเป็นหน้าจอแบบ OLED ซึ่งในการดูหนังและเล่นเกมนั้น จะให้สีที่สวยงามและภาพที่คมชัดมากกว่า โดยตัวเครื่องจะรองรับระบบ HDR ที่จะทำให้ให้จุดที่มีแสงสว่างจะมีความสมจริงขึ้น จุดที่มีสีดำและเป็นเงาของวัตถุจะมีสีที่ดำสนิท และรายละเอียดในวิดีโอต่างๆ ที่คุณดูจะมีความคมชัดและสวยงามมากขึ้น แต่ในบางคนที่ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้มากนัก เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก หรือคนธรรมดาทั่วไป ที่ไม่ได้มีความต้องการที่จะดูภาพที่ชัดมากขนาดนั้น และมีงบประมาณที่จำกัด ก็อาจจะมองมาที่ในรุ่น iPhone 11 ซึ่งมาพร้อมหน้าจอ LCD ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้วครับ4. ความแข็งแรงของตัวเครื่องและการกันน้ำมาต่อกันในด้านความแข็งแรงของตัวเครื่อง สมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นนั้นมีตัวเครื่องที่เป็นกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ถึงแม้กระจกดังกล่าวจะมีความแข็งแรงที่ค่อนข้างสูง แต่ก็ยังคงไม่มีความแข็งแรงและป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีเท่ากับอะลูมิเนียมและพลาสติก และถึงแม้ในสองรุ่นนี้จะมาพร้อมมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP68 แต่แอปเปิ้ลได้ออกมาเคลมว่าในรุ่นโปรจะสามารถกันน้ำได้ลึกถึง 4 เมตร ในเวลา 30 นาที ในขณะที่รุ่นธรรมดาสามารถกันน้ำได้ในระดับความลึกที่เพียง 2 เมตร ซึ่งสำหรับการเกิดอุบัติเหตุที่จะช่วยป้องกันตัวเครื่องในกรณีที่ตกลงไปในน้ำมาตรฐานการกันน้ำที่ 4 เมตรนั้น ก็ดูจะดีกว่าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ แต่ถึงแม้จะว่าสมาร์ทโฟนในปัจจุบันจะสามารถกันน้ำได้ก็ตาม แต่หากมีความชื้นเข้าไปในตัวเครื่องก็จะไม่สามารถเคลมประกันได้อีกต่อไปครับขอขอบคุณข้อมูลจาก cnet