หากพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในอเมริกาใต้ในใจของใครหลายๆคน คงหนีไม่พ้นมาชูปิกชู ซากอารยธรรมโบราณของชนชาวอินคาที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดีสในประเทศเปรู ในครั้งนี้เราจะพาไปชมสถานที่อารยธรรมโบราณแห่งนี้ด้วยการเดินทางอันน่าจดจำ โดยเราเลือกที่จะเดินเทรคกิ้งไปตามเส้นทาง Inca Trail ที่มีความยาวกว่า 43 กิโลเมตร ผ่านป่าเขาดิบชื้นมุ่งหน้าผ่านเทือกเขาอันสลับซับซ้อนเพื่อมุ่งหน้าสู่มาชูปิกชู โดยการเดินในครั้งนี้จะใช้ระยะเวลาทั้งหมด 4 วัน 3 คืน วันแรก ในวันแรกของการเดินทาง ทางบริษัทได้มารับเราที่โรงแรมตั้งแต่ตี 4 เราออกเดินทางโดยรถบัสมุ่งหน้าไปยังจุดที่เราจะเริ่มต้นการเทรคกิ้งกัน หลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมงเราก็ได้มาถึงกิโลเมตรที่ 82 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรา ณ ที่นี้เราได้ทำความรู้จักกับลูกหาบทั้ง 8 คนที่จะร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ โดยสมาชิกในกลุ่มแต่ละคนจะได้รับอนุญาตให้นำสัมภาระไปได้ทั้งหมด 7 กิโลกรัม หลังจากเตรียมอุปกรณ์ในการเดิน เราก็เริ่มออกเดินทางกัน ทางในช่วงแรกค่อนข้างราบ ถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนเจอของจริง วิวสองข้างทางเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวและทุ่งหญ้าเขียวขจี พาให้เราสดชื่นและเพลินเพลิดไปกับการเริ่มต้นเดินในวันแรก เราใช้เวลาเดินกันทั้งหมด 2 ชั่วโมงก่อนที่จะพักทานอาหารกลางวันสไตล์ท้องถิ่นของชาวเปรู ซึ่งปรุงโดยพ่อครัวที่เป็นหนึ่งในลูกหาบ หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ เราก็เริ่มออกเดินทางกันต่อโดยใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงครึ่งก่อนที่จะตั้งแคมป์ที่พักเพื่อพักผ่อนในคืนแรก หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ เราแปรงฟันและเช็ดตัวก่อนที่จะเข้านอนในคืนแรก โดยระหว่างการเดินทางในครั้งนี้จะไม่มีห้องอาบน้ำให้ใช้ จะมีเพียงห้องน้ำเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นเพื่อการขับถ่ายเท่านั้น ระยะทางวันแรก: 14 กิโลเมตร วันที่สอง เช้าวันที่สองของการเดินทาง ลูกหาบขึ้นมาปลุกเราตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยอ่างใส่น้ำอุ่นสำหรับล้างหน้าและโกโก้ร้อน 1 ถ้วยสำหรับจิบคลายความหนาว วันที่สองนี้จะเป็นวันที่มีทางที่โหดที่สุดในทั้งหมด 4 วัน เนื่องจากว่าเราจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของการเทรคกิ้งในครั้งนี้ หลังจากเริ่มออกเดินทางไปได้ 2 ชั่วโมง ไกด์เตือนให้เราเดินเร็วขึ้น เนื่องจากว่าหากพระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นยอดเขาเมื่อไหร่ อากาศจะยิ่งร้อนและทำให้การเดินของเราลำบากยิ่งขึ้นเท่านั้น ทางเดินในช่วงนี้จะเป็นบันไดขั้นๆ แม้ว่าสัมภาระส่วนใหญ่ของเราจะอยู่ที่ลูกหาบ แต่กระเป๋าเป้หนัก 5 กิโลกรัมบนหลังของเรานั้นทำให้การเดินขึ้นครั้งนี้ยากยิ่งกว่าการเดินขึ้นบันไดครั้งไหนๆเป็นเท่าตัว หลังจากผ่านไป 4 ชั่วโมง เราได้มาถึงจุดสูงสุดของการเทรคกิ้งในครั้งนี้ นั่นก็คือ Dead Women’s Pass ซึ่งมีความสูงกว่า 4,215 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เมื่อมาถึงยอดเขาไกด์ของเราทำการเช็คออกซิเจนในเลือดของสมาชิกแต่ละคนเพื่อตรวจสภาพร่างกาย เนื่องจากเมื่อยิ่งขึ้นสูงเท่าไหร่ ออกซิเจนก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น ทำให้คนที่ไม่แข็งแรงอาจหมดสติล้มลงได้ง่าย ก่อนที่เราจะเริ่มเดินลงเขาอีกครั้งหนึ่ง เราก็ได้พบกับซากปรักหักพังที่เคยเป็นสถานที่พักของชาวอินคาคือ Runcun Raccay ที่มีลักษณะเป็นสิ่งก่อสร้างหินทรงกลมและ Sayacmarca ซึ่งครั้งหนึ่งน่าจะเคยเป็นสถานที่พักแรม เนื่องจากว่าในอดีตนั้น Inca Trail เคยเป็นเส้นทางที่ชาวอินคาใช้เดินแสวงบุญเพื่อไปยังศาสนสถานของเค้า นั่นก็คือมาชูปิกชูนั่นเอง การเดินทางในช่วงบ่ายวันนี้ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากฝนเริ่มตกปรอยๆและหนักขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะไปถึงที่พักในวันนี้ก็มืดและเปียกชุ่มไปทั้งตัว สิ่งที่น่าอัศจรรย์ในวันนี้หลังจากที่แต่เดินมาเหน็ดเหนื่อยทั้งวันคือการได้มองขึ้นไปในท้องฟ้าแล้วเห็นดาวระยิบระยับ ทำให้เรารู้สึกได้ใกล้ชิดกับดวงดาวมากกว่าครั้งไหนๆในชีวิต และในเมื่อเราได้มาอยู่ในซีกโลกใต้แล้ว กลุ่มดาวต่างๆที่เราเห็นก็จะเป็นคนละกลุ่มกันกับดาวที่เราเห็นประจำในซีกโลกเหนือ ไกด์ของเราก็มาอธิบายให้ฟังและชี้ให้เราเห็นกลุ่มดาวกางเขนใต้ที่ชาวอินคาในสมัยโบราณใช้สำหรับหาทิศ ก่อนนอนเราเอากระเป๋าเป้ที่เปียกชุ่มและเสื้อกันหนาวไปผิงไฟ โดยหวังว่าพรุ่งนี้เช้าตื่นขึ้นมากระเป๋าจะแห้งสนิทและยังไม่ไหม้ไปเสียก่อน ระยะทางวันที่สอง: 16 กิโลเมตร วันที่สาม ในวันที่สามเราตื่นขึ้นมาตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง โดยวันนี้จะเริ่มเป็นวันที่ง่ายขึ้น เนื่องจากเราได้ผ่านด่านสุดโหดมาแล้ว เราเริ่มต้นวันด้วยการเดินขึ้นเนินเตี้ยๆผ่านป่าที่ค่อนข้างเขียวชอุ่มและมีความชื้น ทำให้เห็นเมฆต่ำหรืออาจจะเรียกว่าเป็นหมอกก็ได้ลอยอยู่รอบตัวเรา เส้นทางเดินในวันนี้สวยงาม เนื่องจากมีหมู่มวลดอกไม้รอบตัวให้เห็นเป็นระยะๆ นอกจากนี้เมื่อมองลงไปก็จะเห็นหุบเขาที่สวยงามด้านล่างและแม่น้ำซึ่งเมื่อมองจากยอดเขาตรงที่เรายืนอยู่ ก็เหลือเล็กกระจิ๋วหลิวทีเดียว ระหว่างการเดินทางมาตลอดสามวันนี้ ลูกหาบของเราจะมักจะเดินแซงหน้าเราเพื่อรีบรุดไปยังที่ตั้งแคมป์เพื่อจัดแจงกางเต้นท์และทำอาหารเตรียมรอรับพวกเรา พวกเขาแบกสัมภาระของสมาชิกในกลุ่มร่วม 30 กิโลกรัมต่อคน ทุกครั้งที่พวกเขาเดินผ่านเราจะรีบหลีกทางและปรบมือเป็นกำลังใจให้ สังเกตได้จากสีหน้าแล้วแววตาว่าของที่อยู่บนหลังของพวกเขานั้นหนักจริงๆ พวกเราในกลุ่มต่างนับถือในความแข็งแกร่งของลูกหาบทุกคน ในวันนี้เราจะพักตั้งแคมป์เร็วขึ้น เพื่อที่จะได้พักผ่อนเต็มที่เนื่องจากพรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้าไป เพื่อชมแสงแรกขึ้นของพระอาทิตย์ที่มาชูปิกชูในวันพรุ่งนี้ เมื่อลูกหาบตั้งแคมป์เสร็จและเราได้พักผ่อนกันสักครู่ ไกด์ก็ชวนเราไปเยี่ยมชมโบราณสถาน Wiñay Wayna ที่มีลักษณะเป็นขั้นบันไดซับซ้อนมองออกไปเห็นแม่น้ำด้านล่าง สันนิษฐานว่าจุดนี้เคยเป็นที่ทำเกษตรกรรมมาก่อน วันนี้ลูกหาบได้จัดเตรียมอาหารค่ำมื้อพิเศษอันยิ่งใหญ่ตามธรรมเนียมของวัฒนธรรมชาวอินคาที่จะเลี้ยงแขกผู้มีเกียรติของพวกเขาอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการขอบคุณที่มาเยือนบ้านเมืองของพวกเขา พวกเรากินอาหารกันอย่างสนุกสนานและกล่าวขอบคุณลูกหาบทุกคนที่ช่วยเหลือพวกเราในการเดินทางครั้งนี้ ระยะทางวันที่สาม: 10 กิโลเมตร วันสุดท้าย และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้ เราตื่นกันตั้งแต่ตีสามครึ่งและเริ่มออกเดินในความมืด มีเพียงแสงสว่างอันน้อยนิดจากไฟฉายติดหัวเพื่อมุ่งหน้าไปยังประตูทางเข้าของมาชูปิกชู ซึ่งจะเปิดให้เข้าไปได้ในเวลาตีห้าครึ่ง เรานั่งรออยู่ในความเงียบสงบของค่ำคืนพร้อมกับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาร่วมเดิน Inca Trail ครั้งนี้ เมื่อถึงเวลาตีห้าครึ่ง ประตูก็เปิดออกและพวกเราก็รีบจ้ำอ้าวเพื่อไปถึง Sun Gate หลังจากเดินไปได้สักระยะ เราก็เริ่มเห็นมาชูปิกชูทีละนิดจากวิวไกลๆ และเมื่อเดินเข้าใกล้ยิ่งขึ้นก็ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมชาวอินคาที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ความเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งหมด 4 วันหายเป็นปลิดทิ้งหลังจากที่ได้เห็นความสวยงามของศาสนสถานอันโบราณของชาวอินคาแห่งนี้ การเดินทางอันแสนทรหดแต่น่าจดจำก็ได้จบลงด้วยการพิชิต Inca Trail เส้นทางแสวงบุญของชาวอินคาและมาชูปิกชูที่ปรากฏสู่สายตาด้วยแสงแรกของพระอาทิตย์ในแบบที่ไม่เหมือนใคร คุ้มค่ากับการที่ได้มาเยือนดินแดนแห่งอารยธรรมพันปีแห่งนี้ ระยะทางวันสุดท้าย: 3 กิโลเมตร *ภาพทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน