ที่มา : https://pixabay.com/get/54e5d1454a56ad14f6da8c7dda6d367a123cdae456596c48702873d5934cc751be/ice-coffee-2546041_1280.jpg?attachment เครื่องดื่มแก้ง่วงในช่วงบ่ายของมนุษย์วัยทำงานหรือเครื่องดื่มร้อนยามเช้า ทานคู่กับปลาท่องโก๋หรือเค้กซักชิ้นเพื่อเริ่มต้นวันดีๆ ทั้งยังเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนในยุคนี้ เกริ่นมาแบบนี้แล้วคงจะนึกเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เรากำลังพูดถึงกาแฟนั่นเอง ไม่รู้ว่าเหล่าCoffee Lover เคยสงสัยใคร่รู้ถึงที่มาของเครื่องดื่มชนิดนี้กันบ้างหรือไม่? แรกเริ่มเดิมทีเขาดื่มกาแฟกันอย่างไร? กว่าจะกลายเป็นกาแฟเมนูต่างๆให้เราได้ดื่มกัน เชื่อเลยว่าเมื่อได้อ่านกันจนจบแล้ว จะต้องเพิ่มอรรถรสในการดื่มกาแฟของหลาย ๆ ท่านได้อย่างแน่นอน ที่มา : https://www.pexels.com/photo/red-berry-fruit-2036857/ “ตำนานแพะเต้นระบำ” ถ้าจะถามว่ามนุษย์รู้จักกาแฟได้อย่างไร? จู่ ๆ เดินไปแล้วสุ่มหยิบขึ้นมากินเลยรึป่าว? คำตอบคือ ไม่ใช่คน แต่เป็น “แพะ” ซึ่งตำนานเกิดขึ้นในทวีปแอพริกา ที่เมืองอบิสซิเนียหรือเอธิโอเปียปัจจุบันนั่นเอง(ไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันมีเมล็ดกาแฟคุณภาพดีนำเข้าจากเอธิโอเปียมากมาย) มีคนเลี้ยงแพะชื่อ” คาลดี” ทุก ๆ วันเขาจะนำแพะออกไปเลี้ยงที่ทุ่งหญ้าตามปกติ วันหนึ่งเขาได้สังเกตเห็นว่า แพะของเขามีอาการคึกคัก กระปรี้กระเปร่าผิดปกติ หลังจากที่กินผลจากต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งมีสีแดงคล้ายผลเชอร์รี่ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาจึงได้ทดลองชิม พบว่าตนเองมีอาการเช่นเดียวกับแพะของเขา คือสดชื่น กระปรี้กระเปร่าและยังหายจากอาการง่วงเหงาหาวนอนอีกด้วย ด้วยความประหลาดใจ คาลดีนำเรื่องราวของผลไม้นี้ไปเล่าให้นักบวชในหมู่บ้านฟัง และนักบวชก็ได้ทดลองกิน ปรากฏว่าในคืนนั้นนักบวชสามารถสวดมนต์ได้ยาวนานกว่าเดิม โดยไม่รู้สึกง่วงนอนแต่อย่างใด เรื่องราวของผลไม้สีแดงคล้ายลูกเชอร์รี่นี้ ถูกเผยแพร่ออกไปและได้รับความนิยมอย่างมากในแถบนั้นรวมถึงดินแดนใกล้เคียง เรื่องราวของคนเลี้ยงแพะกับแพะเต้นระบำนี้ เป็นเพียงตำนานที่ยังไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อ้างอิง แต่จากหลายๆแหล่งข้อมูล ก็เป็นการยืนยันที่ตรงกันว่า กาแฟนั้นมีถิ่นกำเนิดในเอธิโอเปีย ทวีปแอฟริกา “จากพืชพื้นเมือง สู่ดินแดนอาระเบีย” บ้างก็ว่ากาแฟเป็นพืชพื้นเมืองที่พบในเมือง “คัฟฟา” (Kuffa) ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศเอธิโอเปีย จึงมีการเรียกชื่อตามชื่อจังหวัด ก่อนจะเพี้ยนเป็น”คอฟฟี่”(Coffee) ในภาษาอังกฤษ และ”กาแฟ”ในภาษาไทย พืชชนิดนี้ชาวแอฟริกันใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยการบดละเอียดแล้วนำไปผสมกับไขในสัตว์ ปั้นเป็นก้อน พกติดตัวไว้รับประทานเวลาเดินทาง ในช่วงเวลาที่การค้าทาสรุ่งเรือง ชาวผิวดำในแอฟริกาถูกขายเป็นทาสและเดินทางสู่คาบสมุทรอาหรับเป็นจำนวนมาก พวกเขาได้นำเมล็ดของต้นกาแฟติดตัวไปปลูกที่นั่นด้วย เป็นเหตุให้กาแฟเข้ามาเผยแพร่จนเป็นที่นิยมอย่างมากในคาบสมุทรอาหรับ “ไวน์แห่งอาระเบีย” ในช่วงแรกที่กาแฟเผยแพร่เข้าสู่คาบสมุทรอาหรับนั้น กาแฟได้รับความนิยมในฐานะเครื่องดื่มทางศาสนาเนื่องจากตามหลักศาสนาอิสลาม การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นสิ่งต้องห้าม และด้วยสรรพคุณที่ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ตื่นตัวในการสวดมนต์และทำพิธีกรรมทางศาสนา กาแฟจึงได้รับความนิยมในหมู่ผู้นับถือศาสนา ทำให้มีการดื่มกาแฟแทนไวน์และดื่มกันอย่างแพร่หลาย ก่อนจะเริ่มมีการรวมตัวกันตามลานกว้างหรือสถานที่สำคัญทางศาสนาเพื่อดื่มกาแฟและพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ จนเกิดเป็นร้านกาแฟในที่สุด มีผู้คนหลากหลายอาชีพทั้งพ่อค้า นักบวช นักธุรกิจ นักกฎหมาย ข้าราชการ ต่างก็แวะเวียนมาดื่มกาแฟและพบปะสังสรรค์หรือแม้แต่ในยามที่มีแขกสำคัญจากต่างถิ่นมาเยี่ยมเยือน กาแฟก็เป็นเครื่องดื่มที่ใช้ต้อนรับหรือดื่มเพื่อเฉลิมฉลอง แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ทางการสั่งปิดร้านกาแฟด้วยเหตุผลว่า เป็นอบายมุขและซ่องสุม นินทา แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ผู้คนยังนิยมดื่มกาแฟและแพร่หลายขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดกาแฟกลายเป็นเครื่องดื่มที่ได้ชื่อว่าเป็น “ไวน์แห่งอาระเบีย” ผู้คนจากต่างแดนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปต่างก็ติดอกติดใจรสชาติของเครื่องดื่มชนิดนี้ จนเป็นที่กล่าวขานและบอกต่อกันอย่างกว้างขวาง กาแฟกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมและเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลาย ชาวอาระเบียผูกขาดการค้าเมล็ดกาแฟ โดยมีการห้ามไม่ให้ส่งออกเมล็ดกาแฟดิบ หรือต้นพันธุ์กาแฟและไม่ให้ชาวต่างชาติเข้าถึงพื้นที่ปลูกกาแฟได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีหลายคนพยายามที่นำเมล็ดกาแฟสดออกจากคาบสมุทรอาระเบีย “เครื่องดื่มของซาตาน” เมื่อกาแฟเริ่มแพร่ไปที่ยุโรป ในยุคแรกมีการกล่าวขานว่า กาแฟเป็นเครื่องดื่มของซาตาน “bitter invention of Satan” นักบวชในคริสตจักรหลายคน ประณามการนำเข้าของกาแฟ จนเกิดความขัดแข้งและมีทีท่าว่ารุนแรงขึ้น สมเด็จพระสันตะปาปา เคลเมน ที่8 จึงตัดสินใจลองชิมด้วยตนเองแล้วทรงพอพระทัย จึงตัดสินให้มีการล้างบาปเครื่องชนิดนี้ และให้สามารถดื่มเครื่องดื่มชนิดนี้ได้ หลังจากนั้นกาแฟก็ได้นับความนิยมจากชาวยุโรปอย่างแพร่หลาย ร้านกาแฟเกิดขึ้นมากมายในลอนดอนและอีกหลายเมือง ดึงดูดลูกค้าหลากหลายอาชีพให้มาพบปะแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ รวมถึงการเจรจาด้านธุรกิจ ว่ากันว่าร้านกาแฟเป็นสถานที่พบปะของเหล่านักปราชญ์ กาแฟเริ่มเข้ามามีบทบาทแทนที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ไวน์ เบียร์ ตลอดจนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับทานร่วมกับอาหารเช้าในทุก ๆ วันเพื่อเพิ่มความตื่นตัวและความกระฉับกระเฉงก่อนออก ที่มา : https://pixabay.com/th/photos/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87-2609042/ “เดินทางสู่ดินแดนโลกใหม่” กาแฟได้ถูกนำไปที่โลกใหม่หรือทวีปอเมริกาโดยชาวอังกฤษ ช่วงกลางของศตวรรษที่ 16 โดยเริ่มที่เมือง New Amsterdam ซึ่งปัจจุบันคือ New York ในโลกใหม่นี้แม้ร้านกาแฟจะเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยวัฒนธรรมเดิมชาวอเมริกันยังนิยมดื่มชาเป็นส่วนใหญ่ จนเมื่อมีการขึ้นภาษีชาของพระเจ้าจอร์จที่สาม ประชาชนและเหล่าพ่อค้าต่างไม่เห็นด้วย จนเกิดเหตุการณ์ที่เราเรียกว่า Boston Tea Party ซึ่งทำให้รสนิยมการดื่มเครื่องดื่มของชาวอเมริกันมีการเปลี่ยนจากการดื่มชามาดื่มกาแฟกันมากขึ้น กว่าที่กาแฟจะวิวัฒนาการจากพื้นเมืองในดินแดนที่แสนห่างไกล มาเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมจากคนทั่วโลกและสร้างรายได้อย่างมากมายมหาศาลนั้น ใช้เวลานานหลายศตวรรษเลยทีเดียว นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งรสชาติและเรื่องราวที่เป็นตำนาน