หมายเหตุ-บทความนี้ผู้เขียนอาจจะแทรกภาพประกอบจากกล้องโทรศัพท์เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพมากขึ้นครับ และตลอดการเดินทางในครั้งนี้ ผู้เขียนเดินทางรอบลอนดอนโดยใช้รถไฟใต้ดิน (tube) เป็นหลักครับ (London tube map) เชื่อว่าช่วงนี้ทุก ๆ คนคงจะคิดถึงการท่องเที่ยวอยู่เป็นไม่น้อย จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้หลาย ๆ คนต้องเลื่อนหรือยกเลิกแผนการท่องเที่ยวที่เคยวาดฝันนั้นออกไป แต่วันนี้ผมจะพาทุก ๆ คนไปเที่ยวผ่านภาพถ่ายจากกล้องฟิล์มครับ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา (มกราคม 2563) ผมได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และยังได้บันทึกภาพแห่งความสวยงามของเมืองนี้ผ่านกล้องฟิล์ม แต่ด้วยหน้าที่การงานและภารกิจทางการศึกษาของตัวผมเอง (และสถานการณ์โควิด-19 ก็เช่นกัน) ทำให้ผมเพิ่งนำฟิล์มที่ถ่ายมาเมื่อต้นปีออกมาล้างเมื่อไม่นานมานี้เองครับ ก่อนอื่น ผมขอแนะนำอุปกรณ์ที่ใช้บันทึกความทรงจำตลอดการเดินทางในครั้งนี้ครับ กล้องที่ผมใช้เป็นกล้องคอมแพคยี่ห้อ Olympus รุ่น Shoot & Go R ครับ ส่วนฟิล์มที่ใช้บันทึกภาพต่าง ๆ ตลอดทริปนี้ สำหรับวันแรกผมใช้ฟิล์ม Kodak ColorPlus 200 ส่วนวันที่สองผมใช้ Kodak Ektar 100 ครับ มาเที่ยวไปพร้อม ๆ กันนะครับ.... Day 1 (25/01/2020) เรามาเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้กันที่สถานีรถไฟลอนดอนแพดดิงตันครับ (London Paddington Station) สถานีรถไฟแห่งนี้เป็นชุมทางไปยังเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคตะวันตกและแคว้นเวลส์ครับ นอกจากนี้ สถานีแพดดิงตันยังเป็นสถานีของรถไฟสาย Heathrow Express ซึ่งจะเชื่อมต่อไปยังสนามบินลอนดอนฮีทโธรว์ (คล้าย ๆ กับแอร์พอร์ตลิงก์ของบ้านเราครับ) และยังเป็นหนึ่งในสถานีรถไฟใต้ดิน (tube) อีกด้วยครับ ก่อนที่จะเริ่มทริปนี้ ผมเองก็ขอแวะเข้าไปเช็คอิน และเอากระเป๋าไปเก็บก่อนครับ ครั้งนี้ผมพักที่โรงแรม Copthorne Tara Hotel Kensington ครับ ซึ่งผมจะเดินทางโดยรถไฟใต้ดินจากสถานี Paddington ไปลงที่สถานี South Kensington ครับ (เดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสาย Circle หรือสาย District ครับ) หลังจากที่เช็คอินและเอากระเป๋าเข้าไปเก็บเรียบร้อยแล้ว ก่อนอื่นผมก็ไปขอแวะไปเติมพลังกันก่อนที่ร้านชื่อดังอย่างร้าน Burger & Lobster กันก่อนครับ ครั้งนี้ผมได้ไปทานที่สาขา Knightsbridge ครับ การเดินทางสามารถเดินทางไปลงที่สถานี Knightsbridge ครับ โดยนั่งรถไฟใต้ดินสาย Piccadilly ครับ ก่อนที่จะเข้าไปในตัวห้าง ผมเองก็ตื่นตระการตาไปกับตึกที่ตั้งอยู่ตรงข้ามครับ ตึกที่ว่านี้ก็คือโรงแรม Mandarin Oriental Hyde Park, London ครับ ตัวร้านอาหารจะตั้งอยู่บริเวณชั้น 5 ของห้าง Harvey Nichols ครับ หลังจากที่อิ่มหน่ำสำราญไปกับเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ ๆ กับกุ้งล็อบสเตอร์ตัวโต ๆ แล้ว ด้วยความที่วันนี้ตรงกับวันตรุษจีนพอดี ดังนั้นจุดหมายแรกที่เราจะไปนั่นก็คือบริเวณ London Chinatown ครับ London Chinatown เป็นที่ตั้งของย่านคนจีนในใจกลางมหานครลอนดอน ซึ่งเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่มีสถาปัตยกรรมแบบจีน นอกจากนี้ ที่ไชน่าทาวน์ยังมีร้านอาหาร ร้านจำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคสไตล์จีนครับ (พอ ๆ กับย่านเยาวราชของบ้านเราเลยครับ) เราสามารถเดินทางมายัง London Chinatown ได้โดยการนั่งรถไฟใต้ดินสาย Piccadilly ไปลงที่สถานี Leicester square และเดินเท้าต่ออีกนิดหน่อยครับ จุดสังเกตก็จะเป็นซุ้มประตูแบบจีนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่เด่นเป็นสง่าครับ ด้วยความที่วันนี้เป็นวันตรุษจีน บรรยากาศก็จะดูคึกคักเป็นพิเศษครับ ที่จะมีการเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีการแสดงเชิดสิงโตและเชิดมังกรครับ เพื่อเป็นการสร้างเสริมสิริมงคลให้กับห้างร้านต่าง ๆ ตามวิถีจีนครับ หลังจากที่ตะลอนมา(เกือบ)ทั่วลอนดอนแล้ว คืนนี้ผมเองก็ขอกลับไปงีบเอาแรงซักนิดครับ Day 2 (26/01/2020) เข้ามาสู่เช้าวันที่สองของทริปนี้ เราไปเริ่มกันที่สถานที่สำคัญของมหานครลอนดอน ซึ่งถ้าไม่ได้ไปก็แสดงว่ายังมาไม่ถึงลอนดอนนะครับ สถานที่ที่ว่านี้ ก็คงจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากบิ๊กเบน (Big Ben) ครับ โดยเราจะนั่งรถไปใต้ดินสาย Circle ไปลงที่สถานี Westminster ครับ หลังจากที่ถึงสถานี Westminster แล้ว ก่อนที่เราจะไปถึงบิ๊กเบน เราก็จะพบกับรูปปั้น Boudiccan Rebellion ครับ หลาย ๆ คนอาจจะเข้าใจว่าบิ๊กเบนเป็นชื่อของหอนาฬิกาแห่งนี้ แต่ความจริงแล้วหอนาฬิกาแห่งนี้มีชื่อว่าหออลิซาเบธ (Elizabeth Tower) ครับ ส่วนบิ๊กเบนคือชื่อของระฆังที่ตั้งอยู่ในหอนาฬิกาแห่งนี้ครับ ปัจจุบันหอนาฬิกาแห่งนี้อยู่ระหว่างการบูรณะ เราจึงได้เห็นเจ้าหอนาฬิกานี้ที่ถูกปกคลุมไปด้วยนั่งร้านครับ ตรงข้ามกับบิ๊กเบนเป็นที่ตั้งของชิงช้าสวรรค์ London Eye ครับ หลังจากที่เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพอันงดงามของมหานครลอนดอนแล้ว เราก็ไปต่อกันที่อีกหนึ่งสถานที่สำคัญอย่าง Tower Bridge ครับ ซึ่งเราจะนั่งรถไฟใต้ดินสาย Jubilee ไปลงที่สถานี London Bridge แล้วเดินต่ออีกนิดหน่อยครับ สะพานคู่บ้านคู่เมืองของกรุงลอนดอนอย่าง Tower Bridge ถูกสร้างขึ้นระหว่างปี 1886-1894 เพื่อใช้เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ ซึ่งที่ตั้งของสะพานแห่งนี้อยู่ใกล้กับหอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) ครับ ด้วยความที่สะพานแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับหอคอยแห่งลอนดอน จึงเป็นที่มาของชื่อ “Tower Bridge” นั่นเองครับ ถึงอย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวบางคนอาจจะสับสนกับชื่อสะพานแห่งนี้ว่า London Bridge ครับ อาจจะเป็นเพราะที่ตั้งของสะพานแห่งนี้ที่อยู่ในใจกลางมหานครลอนดอน หรือเพลงเด็กอังกฤษชื่อดังอย่าง London Bridge is falling down ครับ อนึ่ง สะพานแห่งนี้เคยถูกทาด้วยสีแดง ขาว น้ำเงิน เพื่อเฉลิมฉลองพระราชพิธีรัชดาภิเษก (Silver Jubilee) ของสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1977 ครับ (สีดั้งเดิมของสะพานแห่งนี้คือสีฟ้าอมเขียวครับ) ก่อนที่จะเดินกลับไปที่สถานีรถไฟใต้ดินนั้น เรายังได้พบกับความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์นที่ City Hall กับ The Scoop at More London ครับ และยังได้พบกับเรือรบ HMS Belfast ที่จอดอยู่ในบริเวณใกล้กันครับ เมื่อสมควรแก่เวลาแล้ว ผมจึงรีบเดินทางกลับไปยังโรงแรมที่พักเพื่อไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ตั้งแต่ตอนเช็คเอาท์เมื่อช่วงเช้า ก่อนที่จะเดินทางไปยังสถานีรถไฟ Paddington เป็นอันเสร็จสิ้นทริปลอนดอนแบบสั้น ๆ ตลอด 2 วันที่ผ่านมาครับ //ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน// Camera : Olympus Shoot & Go R Film : Kodak ColorPlus 200, Kodak Ektar 100 Develop & Scan : A&B Digital lab