จากผู้กำกับที่เคยผลงานเรียกน้ำตา พร้อมคำชมประสบผลสำเร็จอย่างล้นหลามมาแล้วกับเรื่อง "ตับอ่อนเธอนั้น ขอฉันเถอะนะ" นายโช ทสึคิคาวะ ได้กลับมาเปิดตัวเรื่องใหม่ My Little Monster ภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อเดียวกันแต่ในภาษาญี่ปุ่นอันนามว่า "Tonari no Kaibutsu-kun" และเคยมีเป็นอนิเมะ 12 ตอนจบมาก่อน ในชื่อเดียวกันอาจจะไม่ได้มีความอิมแพคเท่ากับผลงานเรื่องที่แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่า ตัวหนังสื่อสารเรื่องราวออกมาอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมิตรภาพ ความรัก และที่อยู่ของ "หลุมหลบภัย" หรือก็คือที่ที่เราอยู่แล้วสะบายใจอีกทั้งยังเป็นหนังรักใส ๆ ที่เริ่มด้วยการชิงชังก่อนจะนำมาสู่ความรัก หรือในภาษาหนังเรียกว่า Screwball Comedy ว่าด้วยเรื่องราวของ... ชิซุกุ เด็กสาวม.ปลายผู้ถึงคติตั้งตนว่า มิตรสหายและแฟนหนุ่มเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นกับการเรียน การเรียนคือสิ่งที่จำเป็นที่สุด เพราะว่ามันมีผลตอบแทนที่แน่ชัด โดยไม่ต้องตั้งหวังอะไรกับมันนอกจากตั้งใจอ่านหนังสือสอบเพื่อให้ได้เป็นที่หนึ่งของสายชั้นเรียน แต่วันดีคืนดีเธอได้เจอกับเพื่อนร่วมห้อง ฮารุ ผู้เป็นนักเลงหัวไม้ถูกพักการเรียนตลอดช่วง ม.ต้น แถม ม.ปลาย เขาก็ไม่คิดจะมาเรียนอีก แต่วันหนึ่งที่ชิซุกุได้นำเอกสารที่อาจารย์เธอไหว้วานเอาไปให้ ทั้งคู่ได้พบกัน แล้วเรื่องราวพิศดารก็ร่ายรำไปตามบทเพลง ขณะที่ความรักทั้งคู่ค่อย ๆ เบ่งบาน มิตรภาพรอบข้องของทั้งสองก็ค่อย ๆ งอกเงยขึ้นเช่นกัน เพราะแต่ละคนที่เข้ามาในชีวิตของทั้งสอง ทุกคนเองก็ต่างมีอดีตที่ชอกช้ำ อย่างการ เป็นธาตุอากาศไร้ซึ่งเพื่อนฝูงอยู่เสมอ ๆ มันจึงไม่ใช่เรื่องราวของคู่รักแปลก ๆ ที่เติมเต็มอะไรบางอย่างให้แก่กันเพียงอย่างเดียว ทั้งชิซุกุ ที่ตั้งตนถือคติดังนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป พร้อม ๆ กับฮารุนั้นเองแม้เรื่องราวจะดำเนินไปบนพื้นเพของความสวยงามเกินฝัน ที่ประกอบไปด้วยพระเอกหล่อ นางเอกสวย ตัวหลักแค่ภายนอกก็ดูหล่อเท่กันไปหมดแล้วแต่เป็นทุกตัวละครที่มีบทบาท ไม่มากก็น้อย (เพราะเวลาเล่ามันไม่มากพอเท่ากับการเป็นมังงะ) ต่างก็ช่วยกันเติบพลังให้แก่กัน อาจมีพ่อแหง่ แม่งอนกันบ้าง แต่ไม่นานก็จะกลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม นี้แหละที่เรียกว่าเพื่อน แต่สิ่งที่ตัวผมสนใจในเรื่องนี้ เป็นประเด็นของแรงปรารถนา ของแต่ละคน เพราะมนุษย์มีชีวิตจึงมี แรงปรารถนา อาจไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นสิ่งที่จำต้องมีให้ได้ เพื่อให้ชีวิตได้สุขสมชื่นมื่น หรือนั้นเองหนอที่กลายมาเป็นคำว่าความฝันของแต่ละคนแรงปรารถนาต่อ...ความรักและความฝันความฝันและความรักเป็นของคู่กัน เพราะเมื่อมีฝันก็ต้องรักที่จะทำเช่นกัน มันจึงจะกลายมาเป็นความจริงที่ปรากฏต่อหน้าได้ การที่รักใครสักคนมันก็เป็นความฝันเช่นกัน ฝันที่จะได้อยู่เคียงข้างเขา ได้ครอบครองเขา นั้นเองแหละในขณะเดียวกันจึงเป็นของที่ขัดแย้งกันด้วยไปในตัว มันทำร้ายซึ่งกันไปในตัว มนุษย์เราล้วนเกิดมาบนโลกใบนี้เพื่อตาส่วนที่ขาดหายไป และมันเป็นไปไม่ได้เลย ที่เมื่อเจอส่วนที่ขาดไปนั้นแล้วมันไม่เกิดลงรอยขึ้นกระทันหันระหว่างที่พวกเราเชื่อโยงหากัน รักและฝันจึงกลายมาเป็นของคู่กันและทำร้ายกันไปในตัว เพราะยามใดที่กลายมาเป็นความสัมพันธ์มันจะเป็นสิ่งที่ยากต่อการอธิบายทันที เราไม่มีเหตุผลต่อกันกระทันหันเสียอย่างนั้น พ่อแหง่ แม่งอนดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของความรัก แต่ไม่นานเมื่อเราเริ่มหันหน้าเข้าหากันอีกรอบ เราก็เริ่มที่จะเข้าใจกันและกันอีกรอบ และบางครั้งการจะเข้าใจในเรื่องนั้นได้ เราจำต้อง ดีดตัวออกห่างหายไปจากวงโคจรของกันและกันไปช้านาน เพื่อทบทวนบางสิ่งบางอย่างที่มันเข้ามาในใจเรา และมันจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเขาคนนั้นสำคัญต่อเราหรือไม่และสุดท้ายเมื่อใดก็ตามที่กลายมาเป็นความสัมพันธ์ เราจะมีแรงปรารถนาต่อกันและกัน และเมื่อทั้งคู่ตอบแรงปรารถนานั้น ก็จะกลายมาเป็นเติมช่องว่างให้แก่กันและกัน และจะไม่มีใครหน้าไหนมาทำให้เราไขว่เขวไปได้เลยและสิ่งที่ผมชอบในหนังคือครอบครัวของ ชิซุกุ ประกอบไปด้วยน้อยชาย พ่อ และแม่ แม่ผู้ที่ไม่เคยกลับบ้านเลยตั้งแต่ยังเด็กพ่อที่ทำธุรกิจแล้วพลาดพลั้งทำให้บ้านต้องมีหนี้ก่อนโต แม่เลยต้องไปทำงานหาใช้หนี้ หนังอาจไม่ให้เหตุผลว่าแล้วทำไมพ่ออยู่เฉย ๆ ละวะแต่ที่ผมชอบคือ พวกเขาไม่ทิ้งกันไปไหน จะจำใจหรือไม่ แต่พวกเขาไม่ทิ้งกัน เพราะพวกเขาคงคิดว่า มันไม่คุ้มเสียกับความรักหลายสิบปีที่ผ่านมา กว่าจะประกอบขึ้นเป็นคำว่าครอบครัวได้ หรือว่าง่าย ๆ ผู้ใหญ่ก็จะมีเหตุผลไม่หย่าร้างกัน นั้นคือคำว่าครอบครัวแรงปรารถนาต่อ...มิตรภาพไม่มีใครอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ได้หรอก จริงหรือเปล่า ผมเองก็ไม่สามารถบอกได้ เพราะตลอดมาก็ยังไม่เคยยืนลำแข้งป่าวประกาศเด่นชัดเหมือน ชิซุกุ มาก่อน แต่ในหนังก็ได้พาเราไปเห็นว่า แต่ละปัจเจคบุคคลนั้น ลึก ๆ แล้วต่างต้องการเพื่อนทางใดทางหนึ่งเสมอ ชิซุกุ จะบอกว่าฉันไม่จำเป็นต้องมีของพวกนั้นหรอก แต่ลึก ๆ เธอก็เกิดเหงาขึ้นมาเมื่อไม่มี ฮารุ อยู่ข้าง ๆ นั้นก็เพราะว่าเมื่อถึงวันที่เธอเลิกเป็นหุ่นยนต์ต่อสู้กับความเหลื่อมล้ำที่ตัวเองต้องแบบรับ จากระบบการศึกษาที่ผลสอบกลายมาเป็นตัวชี้วัดชีวิตเด็กคนหนึ่ง มันเริ่มได้ผลิดอกออกผลสร้างเธอให้เป็นคน มีความรู้สึก นึกคิด และรู้จักที่จะรักใครสักคนเป็น มันจึงยากนักที่หันไปหาวิถีเดิม ๆ ของตัวเองที่ผ่านมาและปฏิเสธไปอย่างสิ้นเชิงว่า เธอไม่เคยต้องการเพื่อน ๆ เลยทั้งชีวิต เพราะการที่เธอมุ่งเรียนเป็นบ้า อย่างไม่สนใจรอบข้างนี้เอง เป็นส่วนลึกสุดของจิตใจที่เธอกำลังเรียกร้องหาใครสักคนที่หันมายิ้มให้กับเธอได้นั้นเอง จึงกล่าวสรุปอีกครั้งได้ว่า ไม่มีใครอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ได้หรอกแรงปรารถนาต่อ...อดีตและความทรงจำถ้ายังเป็นคนอยู่ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนสำหรับเราที่สุดคือ การจดจำอดีตแย่ ๆ ไม่ว่าใครจะบอกหรือเราบอกเองว่า ทิ้งไปเถอะ ความทรงจำแสนเลวร้ายเหล่านั้น แต่จะมีกี่คนกันเชียว ที่จะทำได้... เราทุกคนล้วนเติบโตจากการต้องผิดหวัง จากการต้องเจอเรื่องแย่ ๆ และไม่ใช่ทุกคนที่จะมูฟออน จากตรงนั้นแล้วใช้ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกลาเวนเดอร์ยิ่งแล้วใหญ่เลย หากความททรงจำนั้น มันไม่ได้มาทำร้ายเราถึงวันนี้เพียงแค่กลิ่นไอของอดีต แต่มันมากถึงตัวตนของผู้ที่กระทำต่อเรา ผู้ที่ทำลายถิ่นที่อยู่อันปลอดภัยของเรา เราจึงมีแรงปรารถนาต่อ...การที่จะได้หนีอดีตทิ้งความทรงจำเหล่านั้นไปคำถามคือ เป็นไปได้หรือ ไม่ว่าเราวิ่งหนีให้ตายยังไง สุดท้ายวันหนึ่งเราก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่อย่างน้อยเราก็ได้ลอง แม้จะจบลงด้วยการต้องไปวิ่งตากฝนแบบพระเอกหรือไม่ก็ตาม และคนที่ทำให้ ฮารุ หันหน้าสู่กับอดีตตัวเองอีกหนนั้นก็คือ ชิซุกุ เธอนั้นเองที่บัดนี้กลายมาเป็นคนคู่เคียงข้างของกันและกันเสมอไปส่วนท้ายสุดของเรื่อง ก็เปรียบไปว่าทุกสิ่งล้วนประกอบขึ้นด้วยความรัก ความรักทำให้เกิดการหมุนเวียน ทั้งภายในคน องค์กร รวมไปถึงประเทศชาติและโลกใบนี้ เพราะคนที่จะเปลี่ยนโลกนั้นก็มนุษย์เรา และหากปราศจากความรัก มันก็จะมีเพียงแต่สงครามที่วิงวอนไม่รู้จบ ฟังดูเวิ่นเว้อหรือไม่ หากจะบอกคำนี้ว่าความรักคือทุกสิ่ง ทุกสิ่งเกิดมาจากความรัก ลองคิดดูภาพ : จากตัวอย่างหนังติดตามข้าพเจ้าเองได้ที่ยูทูป Funfrom production และได้ที่ Blockdit