Need กับ Want แยกแยะเป็นเห็นทางรวยเรื่อง/ภาพ: ทนายน้อยหน่าทุกคนคงอยากรวยแม้ว่าความหมายของความรวยแต่ละคนจะไม่เท่ากัน แต่เมื่อเราอยู่ในโลกที่ใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนทรัพย์สิน ทุกคนจึงต้องมีเงินเพื่อดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ ในการวางแผนการเงินมีเรื่องหนึ่งที่หากเราทุกคนเข้าใจจะสามารถมีเงินเก็บได้มากขึ้นนั่นคือความเข้าใจเรื่อง Need และ Want ในฐานะที่เราได้รับการอบรมและสอบผ่านใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์จาก กลต.จึงอยากเล่าถึงประเด็นนี้ตอนเด็กทุกคนคงเคยมีของเล่น บางคนที่พ่อแม่มีเงินก็ซื้อให้ ถ้าพ่อแม่มีเงินมากของเล่นก็แพงขึ้นมากตามฐานะ ถ้าพ่อแม่ไม่ค่อยมีเงินก็หาของเล่นเอง เช่นเล่นหมากเก็บโดยใช้หินที่เก็บได้ตามแถวบ้านมาเล่น เด็กสมัยนี้อาจไม่รู้จัก บางทีก็ทำขึ้นเองเช่นวาดรูปตุ๊กตาแล้วตัดกระดาษออกมาเป็นตัวตุ๊กตา วาดรูปรถบนกระดาษแข็งแล้วตัดออกมาเล่นเป็นรถ อยากไปเที่ยวไหนก็แล้วแต่พ่อแม่จะพาไป พอโตมาของเล่นก็เปลี่ยนไป กลายเป็นของเล่นที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ดังนั้นของใช้หรือทรัพย์สินที่ซื้อตอนโตมันใช่ของใช้จำเป็น (Need) จริงหรือไม่หรือเป็นแค่ความต้องการ (Want) เพื่อตอบสนองความอยากได้คล้ายกับของเล่นในวัยเด็กลองดูว่าภาพต่อไปนี้อะไรคือของใช้อะไรคือของเล่น โดยใช้มาตรฐานคนทำงานกินเงินเดือนทั่วไปขอบคุณภาพจาก pexelsขอบคุณภาพจาก pexelsรูปข้างต้นนำแนวคิดมาจากเรื่องจริง เรามีคนรู้จักที่พอจะเก็บเงินซื้อรถเบ็นซ์เงินผ่อนได้โดยนำเงินเก็บที่มีอยู่เกือบหมดมาดาวน์รถแล้วผ่อน แต่ปัญหาคือค่าประกันรถยนต์แพงมาก ค่าดูแลรักษาเข้าศูนย์รถแต่ละครั้งสูงกว่ารถญี่ปุ่นเยอะ สุดท้ายใช้ไปได้ 2 ปีต้องขายเพราะทนรับภาระไม่ไหว เพราะซื้อทรัพย์สินเกินฐานานุรูป เท่ากับเงินที่เก็บมาหายไปเลยหรือแม้แต่อาหารการกิน เรามีคนรู้จักที่แต่งงานมีครอบครัวแล้วไม่เคยกินข้าวในบ้านเลย กินร้านอาหารแบบภัตตาคารทุกวัน แต่เนื่องจากครอบครัวนี้สามีมีเงินเดือนสูง ภรรยาไม่ได้ทำงาน ดังนั้นการใช้ชีวิตแบบนี้จึงพอเหมาะแก่ฐานานุรูปขอบคุณภาพจาก pexelsแต่ถ้าครอบครัวนี้เกิดเหตุไม่คาดฝันสามีพลกผันตกงาน มาตรฐานการครองชีพของครอบครัวนี้จะเปลี่ยนไปทันที เมื่อนั้นภรรยาคงต้องหัดทำกับข้าวแล้วขอบคุณภาพจาก pexelsดังนั้นจะเห็นว่าของจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของชีวิตที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Need กับของที่สนองความต้องการทางจิตใจที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Want คือคนละตัวกัน นี่คือเหตุผลที่ต้องวางแผนการเงินเพราะรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไปและทำให้บางคนดูเหมือนจะมีค่าใช้จ่ายจำเป็นมากมายไม่สิ้นสุดนอกจากตัวอย่างข้างต้นแล้ว Want ก็เช่น ท่องเที่ยวต่างประเทศทุกปีที่หรูหราเกินฐานะ ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมเกินฐานะ ตัวอย่างเกินฐานะเช่น เงินเดือน 50,000 บาทซื้อกระเป๋าใบละ 50,000 บาทเท่าเงินเดือนโดยใช้ออกงานปีละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใช้เป็นกระเป๋าถือไปทำงานทุกวันเพราะความคงทนและสวยงามที่ใช้ได้นานร่วม 10 ปีและเมื่อเทียบราคากระเป๋ากับเงินสดที่มีอยู่แล้วไม่เดือดร้อนนั่นคือ Need ไม่ใช่ Wantประโยชน์ของการแยกแยะ Need กับ Want เป็น คือเราจะสามารถเก็บเงินเพื่อใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพในวัยเกษียณที่เราไม่มีรายได้แล้ว โดยหลักการแล้ว Need จะเป็นจำนวนเงินไม่มาก เช่นเงินที่ต้องใช้ยามเกษียณเฉพาะปัจจัย 4 ประมาณ 3 ล้านบาท ในขณะที่ Want อาจกลายเป็น 10 ล้านบาท ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นภาระใคร เมื่อเราเกษียณเราจำเป็นต้องมีเงินในส่วน Need ก็คือส่วนที่เตรียมไว้ใช้เรื่องปัจจัย 4 แต่หากเรามีศักยภาพที่จะเก็บเงินและลงทุนได้ถึง Want คือส่วนที่เกินจากความต้องการพื้้นฐาน ย่อมเป็นสิทธิ์ของเราการที่เราเกิดมาใช้ชีวิตเราต้องมี “ของเล่น” ตามควรแก่ฐานะไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จะเกิดมาทำไม แต่เราต้องรู้จักวางแผนเพราะถ้าเราใช้แต่ Want เมื่อถึงวันที่เราต้องการเงินเพื่อสิ่งที่ Need เราอาจจะไม่มีเงินเพียงพอแล้วต้องไปเป็นภาระผู้อื่นก็ได้รูปในภาพปกคือรถของเราเองเป็นรถญี่ปุ่น ขนาดแรงม้า 1800 ซีซี ใช้มา 10 ปีแล้ว ระยะที่ใช้ประมาณ 300,000 กิโลเมตร หากให้ซื้อใหม่รุ่นแรงม้าเดียวกันก็ประมาณ 1 ล้านบาท แต่เราต้องการนำเงิน 1 ล้านบาทไปลงทุนเพื่อเตรียมไว้ใช้ในวันที่เกษียณไม่มีรายได้ เราจึงใช้วิธีเปลี่ยนเครื่องยนต์และอะหลั่ยที่หมดอายุโดยเครื่องยนต์ที่นำมาเปลี่ยนมีระยะที่ประมาณ 50,000 กิโลเมตร เสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 200,000 บาท แต่ได้รถที่มีเครื่องยนต์สภาพเหมือนใหม่ เนื่องจากตัวถังยังสวยงามแข็งแรงดีอยู่ เราจึงมีเงินเก็บส่วนต่างไปลงทุนเพื่อไว้ใช้ในวันเกษียณได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องใช้แนวคิดแบบนี้ ต้องขึ้นกับการเลือกใช้ชีวิตที่มีความสุขด้วย เราเองใช้รถยนต์ปัจจุบันเป็นคันที่ 3 คันที่ผ่านมาใช้เพียง 7 ปีก็เปลี่ยนโดยที่รถยังใช้งานได้ดีแต่เมื่อก่อนเป็นวัยอายุน้อย ๆ ก็มี Want เยอะอยากได้รถใหม่ เดี๋ยวนี้อายุเยอะขึ้นจึงมีแนวคิดเก็บเงินไปลงทุนดีกว่าหวังว่าผู้อ่านที่อ่านถึงบรรทัดนี้ จะสามารถจัดการแยกแยะ Need กับ Want ได้ตามฐานานุรูปแล้วนำเงินที่เก็บได้ไปลงทุนต่อให้เงินงอกเงย เมื่อนั้นความรวยก็อยู่ไม่ไกลแล้วเครดิตภาพ: โดยผู้เขียน