"Peter Luger Steak house ชื่อนี้คือสวรรค์ของคนรักเนื้อ" ใช่แล้วค่ะวันนี้เราพาเพื่อนๆไปชิมสเต็กกันไกลถึงนิวยอร์กกันเลยทีเดียว เพื่อนๆทีสนใจไปได้ตามที่อยู่นี้เลยค่ะ 178 Broadway, Brooklyn, NY 11211, United States ร้านเปิดทุกวัน เวลา 11.45 AM - 10.45 PM นะคะ ที่่มาที่ไปของการเลือกมาทานร้านนี้ก็เพราะว่า Peter Luger เป็นร้านสเต็กที่ได้ดาวจากมิชเชลลีนสตาร์และเป็นร้านยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวด้วยค่ะ ก่อนอื่นเราวางแผนโดยการทำการสำรองโต๊ะผ่านทางโทรศัพท์ล่วงหน้า 2 สัปดาห์ ซึ่งบอกตามตรงเลยว่าโทรศัพท์ของทางร้านนั้น โทรติดยากมากๆเลยค่า พอโทรติดแล้วเราก็ต้องเลือกช่วงเวลา เพราะร้านนั้นจะเปิดให้บริการ 2 ช่วงคือช่วงเช้ากับช่วงเย็น ถ้าวันเวลาที่เราต้องการไม่ว่าง ทางร้านจะแจ้งให้ทราบว่ามีวันหรือเวลาอื่นไหนบ้างที่เราสะดวก ซึ่งถ้าเป็นนักท่องเที่ยวที่ตารางเวลาค่อนข้างฟิกเราแนะนำให้เลือกวันเวลาที่คาดว่าจะว่างไว้หลายๆช่วงค่ะ แล้วทำการสำรองที่นั่งก่อนที่จะลงแพลนอื่นๆในตารางค่ะ ส่วนเรานั้นลงเอยที่ช่วงเวลา 13.45 น. ของวันจันทร์ค่ะ ที่อเมริกานั้นส่วนมากหลายๆคนจะหยุดงานวันจันทร์และตามร้านอาหารส่วนใหญ่ก็จะเป็นวันที่ลูกค้าหนาแน่นน้อยที่สุดแล้วค่ะ และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง เราเดินทางมาจาก Massachusetts วันอาทิตย์และเข้าพักในตัวเมือง Manhattan ซึ่งการเดินทางมายังร้านในย่าน Brooklyn สำหรับเราก็มารถไฟใต้ดินแล้วก็เดินต่อนิดหน่อยก็ถึงแล้วค่ะ ร้านหาไม่ยากเพราะมีการวาดโลโก้ร้านตัวโตๆอยู่ข้างกำแพง ทำให้เป็นจุดสังเกตสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างพวกเราค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่อง พอเดินทางมาถึงร้านก็ตรงเข้าไปแจ้งที่เค้าเตอร์เลยว่าเราได้จองโต๊ะเอาไว้ จากนั้นโฮสต์ก็จะพาเราไปยังโต๊ะที่เราได้จองเอาไว้ค่ะ พนักงานที่ร้านส่วนมากเป็นพนักงานชายอายุค่อนข้างเยอะนะคะ ดูสุภาพในยูนิฟอร์มเหมือนพนักงานโรงแรมค่ะ และเนื่องจากร้านนี้เปิดมากว่า 133 ปีแล้ว ทางร้านก็เลยยังคงรูปแบบการตกแต่งร้านแบบดั้งเดิม มีความโบราณคลาสสิก ให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่ในยุคสมัยโบราณของฝรั่งเลยค่ะ ดูจากจานชามช้อนส้อมมีด ที่ทางร้านวางเตรียมไว้ให้บนโต๊ะไม้ ก็ยิ่งอินกับบรรยากาศความโบราณยิ่งขึ้นไปอีก เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่อง แขกส่วนใหญ่ในร้านจะเป็นนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและต่างรัฐ และโต๊ะก็จะเต็มทุกวันค่ะ เพราะทุกคนต้องมีการสำรองโต๊ะมาก่อนล่วงหน้า ถ้าวอร์คอินเข้ามามีโอกาสสูงที่จะไม่ได้ทานค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่อง พอนั่งประจำที่แล้วเราพนักงานก็จะถามเครื่องดื่ม ซึ่งเรารับน้ำเปล่า จากนั้นพนักงานก็จะเสริฟน้ำเปล่าให้เรา (ไม่เสียค่าบริการ) เราก็เริ่มดูเมนูกันเลยค่ะ เมนูจะแบ่งเป็นเมนูเซตกลางวัน และเมนูทั่วไป(สั่งได้ทั้งวัน) เราเลือกสั่งจากเมนูทั่วไปค่ะ เนื่องจากเรากลัวไม่ได้ทานตัวที่เด่นๆของร้านถ้าสั่งเซตกลางวัน(อันนี้คิดเองเองนะคะ) ความจริงขนาดของจานอาหารที่ทางร้านแทบทุนร้านในอเมริกาเสริฟมานั้นเซตกลางวันก็อิ่มครบและราคาประหยัดกว่าแบบปกติเยอะค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่อง เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่อง ซึ่งที่ Peter Luger เซตอาหารกลางวันในแต่ละวันจะไม่เหมือนกันนะคะ ดูจากเมนูที่ชอบแล้วไปทานกันให้ถูกวันนะคะ ส่วนเราเลือกเป็นเมนู SINGLE STEAK (แบบ Medium rare ความสุกระดับดิบกลาง) กับ Luger’s Sizzling Bacon, Extra thick, By the side และ Creamed Spinach (for 2) พอสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว พนักงานจะนำขนมปังมาเสริฟระหว่างรออาหารพร้อมเนยสด และซอสสูตรเฉพาะของทางร้านค่ะ ขนมปังนี้เราสามารถขอเพิ่มได้นะคะ ใน 1 ตะกร้าก็จะมีขนมปังหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าแต่ละตัวเรียกว่าอะไรกันบ้าง อิอิ แต่ตัวที่เราชอบที่สุดคือขนมปังชิ้นที่มีไส้กระเทียมตรงกลาง ขนมปังแทบทุกตัวเค้าจะโรยเครื่องเทศมานะคะ ให้อารมณ์ของร้านอาหารฝรั่งมาก เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่อง ระหว่างนี้เราก็ทานขนมปังเล่นกันไป คุยกันไปมองดูสภาพร้านโดยรอบไปด้วย 15 นาทีผ่านไป Luger’s Sizzling Bacon, Extra thick, By the side ก็มาเสริฟก่อน ซึ่งทางร้านคงเข้าใจว่าเรากับเพื่อนเราจะแชร์อาหารกัน เลยออกอาหารตัวที่เป็น Appetizer ก่อน ซึ่งจริงๆเราตั้งใจจะทานทุกอย่างพร้อมกัน แต่เราไม่ได้บอกพนักงานเอาไว้ เราเลยรีบแจ้งพนักงานไปเผื่อเค้าจะรอให้ทาน Appetizer หมดก่อนค่อยเสริฟอาหารจานหลัก ที่เราต้องทานทุกอย่างพร้อมกันนั่นก็เพราะเรากลัวอิ่มซะก่อนค่ะ อย่างที่บอกว่าอาหารแต่ละจานใหญ่มาก ถ้าเราอิ่มเบค่อนเราจะไม่ได้ดื่มด่ำกับความเลิสรสของสเต็กเนื้อที่รอคอยนั่นเอง เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่อง มาดูที่ตัวเบค่อนกันนะคะ เมนูนี้ก็เป็นเมนูดังเมนูหนึ่งที่ Yelp แอพลิเคชั่นแนะนำอาหารชื่อดังของอเมริกาแนะนำมากที่สุดค่ะ และทางร้านก็ทำออกมาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เบค่อนที่ได้ชิ้นใหญ่และหนามาก 2 ชิ้น สุกเกรียมกำลังดี และหอมมากๆ เนื้อเบค่อนเป็นสีชมพูระเรื่อน่ารับประทาน ส่วนรสชาตินั้นก็มีความเค็มนิดๆมันหน่อยๆ แต่กลิ่นของควันย่างนั้นติดปากมากเลยค่ะ รับประทานกับขนมปังและซอสของทางร้านถือว่าฟินขั้นสุด เอาจริงๆแค่เบค่อน 2 ชิ้น ก็อิ่มแล้ว นี่สเต็กยังไม่ได้เริ่มทานเลย เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่อง จากนั้นไม่นานผักโขมอบชีสก็มาเสริฟพร้อมกับสเต็กจานใหญ่มาก ตอนพนักงานยกมาเสริฟยังมีเสียงจี่เนื้อในกระทะดังอยู่เลยค่ะ พนักงานถึงแม้จะดูมีอายุแต่ก็ทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วมาก พอสเต็กมาวางตรงหน้าเราพนักงานก็ทำการหั่นและสาธิตวิธีการรับประทานให้เราเลย ความสุกของสเต็กระดับดิบกลางของเราสีสวยกลิ่นหอมน่าทานมากๆๆๆๆๆ พนักงานแจ้งว่าตอนจะรับประทานให้ตักน้ำมันเนื้อ ที่ก้นจานอีกฝั่งขึ้นมาราดบนเนื้อแล้วรับประทานจะทำให้เนื้อนุ่มและรสชาติดียิ่งขึ้น ทีแรกเราก็สงสัยว่าเค้าเอาอุปกรณ์อะไรไม่รู้ชิ้นเล็กๆมาวางไว้ที่โต๊ะทำไม ที่แท้ก็เอามาวางไว้ให้จานสเต็กเอียงไปข้างใดข้างนึงเล็กน้อยเพื่อแยกน้ำมันออกจากเนื้อนั่นเอง พนักงานทำการตัดเนื้อทั้งจานแล้วแบ่งมาใส่จานเรา 2 ชิ้นใหญ่ พร้อมตักผักโขมอบชีสมาวางไว้อีกมุมของจานเราและตักน้ำมันราดให้เราเรียบร้อย เรียกได้ว่าบริการดีให้คำแนะนำดีมากๆเลยค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่อง พอเห็นขนาดของจานสเต็กแล้วเราถึงกับกุมขมับกันเลยทีเดียวค่ะ 555 เกือบไปแล้ว เราเกือบสั่งแบบ steak for two แล้วเพราะเห็นราคาคุ้มกว่า พอทานเข้าจริงๆ คนละ 2 ชิ้นกับผักโขมอบชีสก็อิ่มจนทานอะไรต่อไม่ไหวแล้วค่ะ มาพูดถึงตัวสเต็กที่รอคอยกันนะคะ ที่ Peter Luger Steak House เค้าใช้เนื้อแบบ USDA Prime beef dry aged ค่ะ การ Dry Aged คือการแปรรูปเนื้อสัตว์ให้มีความแข็งโดยการบ่มไว้ที่อุณหภูมิที่เหมาะสม 1 – 5 องศาเซลเซียส และมีความชื้น 70-80% เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่อง กระบวนการนี้จะทำให้เสียเนื้อส่วนที่กินไม่ได้ไปถึง 70% เลยทีเดียว ดังนั้นเนื้อ 30% ที่เหลือจึงเป็นเนื้อส่วนที่มีความนุ่ม หอมเข้มข้น และอร่อยลุ่มลึกที่สุดค่ะ และทาง Peter Luger ก็ทำได้ดีมากๆค่ะ ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ พึ่งเคยทานเนื้อที่มีความชุ่มอมน้ำและเหมือนจะละลายในปาก แต่ก็ยังต้องมีเทคเจอร์ที่ต้องเคี้ยว มีความนุ่มหนึบสู้ฟันกำลังดี กัดลงไปแต่ละคำน้ำมันที่แทรกอยู่ตามชั้นเนื้อก็ทะลักออกมายันกระพุ้งแก้ม บอกได้คำเดียวเลยว่า ฟินมาก ที่สำคัญขั้นตอนการย่างของเค้าทำให้มีกลิ่นรมควันที่เราก็ไม่เคยทานรสชาติแบบนี้มาก่อน ทำให้ตัวเนื้อนั้นหอมมากยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งน้ำมันที่ราดบนเนื้อนั้นก็ยิ่งทำให้เราฟินขั้นสุด จนบางทีเราเผลอนึกถึงน้ำจิ้มแจ่วกับข้าวสวยร้อนๆขึ้นมาเลยค่ะ อ่อ เราทานกับซอสของทางร้าน ซึ่งเค้ามีขายเป็นขวดนะคะ รสชาติก็จะมีความเปรี้ยวนำหวานกลมกล่อมกำลังดีค่ะ อร่อยตัดเลี่ยนได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่อง ส่วนตัวผักโขมอบชีสนั้นอร่อยค่ะ ครีมมี่ เข้มข้นตัวผักโขมนุ่มละลายในปากค่ะ ซึ่งผักโขมอบชีสเราก็แนะนำนะคะ แต่แค่สั่งเป็น side dish ก็พอค่ะ เดี๋ยวอิ่มเกินไปจะทานไม่หมดนะคะ และเราก็ทานไม่หมดกันจริงๆ เลยขอให้พนักงานห่อเฉพาะสเต็กเนื้อกลับบ้านให้เราค่ะ มาถึงค่าเสียหายก็สมราคาอยู่ที่ประมาณ 2300 บาท รวมทิปก็ 2800 บาทพอดิบพอดีค่ะ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนร้านจะรับแค่เงินสดนะคะ พอจ่ายเสร็จเค้าก็จะมีช็อคโกแล็ตเหรียญๆโลโก้ร้านมาให้ ซึ่งอร่อยค่ะ อร่อยมาก อิอิ ใจจริงเราอยากทานนิวยอร์กชีสเค้กของทางร้าน เพราะเห็นว่าดังเหมือนกัน แต่ก็ทานต่อไม่ไหวจริงๆ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่อง และที่น่าชื่นชมที่สุดคือกรรมวิธีการย่างเนื้อของทางร้าน ไม่รู้เค้ามีเคล็ดลับอะไรนะคะ พอกลับมาทานเนื้อที่เหลืออีกทีในวันรุ่งขึ้น เนื้อก็ยังคงคุณภาพเดิมคือนุ่มชุ่มหอมเหมือนเดิม ปกติถ้าเนื้อสเต็กถูกทิ้งไว้ข้ามคืนมันจะชืดและแห้งใช่ไหมคะเพื่อนๆ เราถือว่า Peter Luger Steak House สอบผ่านในการเป็นร้านที่ได้รับดาวจากมิชเชลลีนสตาร์ค่ะ การบริการ คุณภาพอาหาร ถือว่าเยี่ยมค่ะ ถ้าเพื่อนๆมีโอกาส แวะไปทานกันนะคะ อร่อยจริงคอนเฟิร์มค่ะ สุดท้ายขอชักภาพคู่กับหน้าร้านซักหน่อยเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง อิอิ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่อง หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว ก็ชวนเพื่อนแวะหาเบียร์เย็นๆทาน ซึ่งเบียร์เย็นๆในที่นี้เราหมายถึง "เบียร์บลูเบอร์รี่"ใช่แล้วค่ะ เครื่องดื่มที่อยากจะแนะนำเมื่อมาถึงอเมริกาก็คือเบียร์นั่นเองค่ะ แต่กฎหมายของอเมริกาก็คือ ต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไปและแสดงบัตรประจำตัวประชาชนทุกครั้งที่สั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ทุกชนิดด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นจะมีความผิดทั้งคนขายและคนซื้อถึงขั้นถูกปิดร้านและต้องจ่ายค่าปรับแสนสาหัสกันเลยทีเดียว เครดิจภาพโดยเจ้าของเรื่อง หน้าตาของเบียร์บลูเบอร์รี่ เป็นแบบนี้เลยค่ะ ทางร้านจะโรยบลูเบอร์รี่มาให้ด้วย บอกได้คำเดียวเลยว่ารสชาติจะหวานนิดๆและหอมบลูเบอร์รี่มากๆ เพราะกรรมวิธีการทำเบียร์ชนิดนี้เค้าหมักบลูเบอร์รี่เข้าไปด้วย เวลาสั่งก็จะมีให้เลือกทั้งแบบสด และแบบขวด ถ้าสั่งแบบสดก็สามารถเลือกแบบเหยือกมาแชร์กันกับเพื่อนได้ประหยัดกว่าเดิมอีกด้วยค่ะ อ่อ เบียร์ที่นี่เค้าไม่นิยมรับประทานใส่น้ำแข็งกันเพราะจะทำให้เสียรสชาติของเบียร์ค่ะ ราคาตกอยู่ที่แก้วละ 150-190 บาทไทยเท่านั้นเองค่ะ นอกจากเบียร์บลูเบอร์รี่แล้ว อเมริกายังมีเบียร์อีกนับร้อยนับพันชนิดจากทั่วทุกมุมโลก เรียกได้ว่าลองชิมกันไม่หวั่นไม่ไหวกันเลยทีเดียว ไม่่ว่าจะเป็นเบียร์ฮ็อปป์ เบียร์น้ำผึ้ง เบียร์ราสเบอรี่ หวีทเบียร์ เบียร์ดำ เบียร์หมัก บลาๆๆๆ และมีการออกรสชาติใหม่ๆที่สอดรับกับการเปลี่ยนฤดูกาลอีกด้วยค่ะ น่าสนใจใช่ไหมล่ะคะ สำหรับวันนี้ขอบคุณเพื่อนๆที่ติดตามอ่านกันมาถึงตรงนี้นะคะ อย่าลืมนะคะว่าอะไรก็ตามที่เรารับประทานเข้าไปแต่พอดีนั้นดีที่สุดค่ะ