จั้กกรู(Juggu) นางเอกของเรื่อง เป็นนักข่าวทีวี พูดว่า … ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่รายการ “คำถามสุดท้าย” ระหว่าง ธภัสวีร์ และ ปิ้คเก(Pk)ธภัสวีร์… ชี้มือไปที่ปิ้คเค แล้วหันหน้าไปหาผู้ฟัง พร้อมกับพูดว่า “ชายผู้นี้เคยตามหาพระเจ้า แล้ววันหนึ่งก็บอกว่าพระเจ้าได้หายสาบสูญไป แต่วันนี้จู่ ๆ ก็มาบอกว่าพระเจ้าหลอกลวง มาบอกด้วยว่าหินศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสร้อยสังวาลย์ขององค์พระศิวะ ที่พระเจ้ามอบให้เรามา และให้เราสร้างวิหารเก็บหินนี้เอาไว้สำหรับติดต่อกับพระเจ้านั้น…เป็นหินของเขา“ (แล้วหันไปหาปิ้คเค และพูดต่อ) “เจ้ารู้มั้ย… คนบางคนไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีข้าวกิน ไม่มีแม้กระทั่งเพื่อนที่จะคุยด้วย ไม่มีความหวัง คนเหล่านั้นพยายามที่จะฆ่าตัวตาย บางคนกรีดข้อมือ แต่พระเจ้าได้เข้ามาให้อาหารกับจิตวิญญาน ผูกสายสิญจน์ที่ข้อมือของพวกเขา ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความหวัง แล้วเจ้าก็มาทำลายความหวังของพวกเขาด้วยการมาบอกว่า พระเจ้าหลอกลวง เจ้าเอาแต่พูดว่า Wrong number wrong number.... แล้วไหนคือหมายเลขที่ถูกต้อง เจ้าบอกมาสิ!!!ปิ้คเค(Pk) จะตอบว่าอย่างไร… ไปติดตามกันเองในหนังดีกว่าเนอะ! (หรือใครที่ชอบการสปอยหนังก็ติดตาม เดี๋ยวเรารีวิวต่อ…) แต่ตอนนี้ขอย้อนอดีตสักครู่ นางเอกหนังอินเดียสมัยก่อนก่อนจะหน้าสวยคมขำ หุ่นอวบ ๆ ประเภท เนื้อ นม ไข่ แต่เต้นระบำแขกได้พริ้วน่าดู พระเอกหนังอินเดียก็หล่อ คมเข้ม เวลาพระเอกจีบนางเอกก็จะเต้นระบำประกอบเพลงแขกจีบกันเกือบทุกเรื่อง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหนังอินเดีย นานมากแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังอินเดีย (เกือบ 23 ปี) เพราะดูมาเยอะมาก… ถึงจุดอิ่มตัว เลยเลิกดู!!!แต่ช่วงโควิด -19 มีโอกาสได้หยุดอยู่บ้าน (หยุดเชื้อ เพื่อชาติ - Stay at home) เพื่อนแนะนำหนังอินเดียเรื่องนี้ บอกสนุกดีนะ เป็นหนังเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อ เราก็เลยได้กลับมาดูหนังอินเดียอีกครั้ง ความคิดแรกหลังจากดูจบ 4 รอบ ( 4 รอบแบบตั้งใจทุกรอบ )… ทำไมเราถึงพลาดดูหนังเรื่องนี้ทั้ง ๆ ที่เขาสร้างและออกฉายมาตั้งแต่ปี พ.ศ 2557 แถมเป็นหนังที่สร้างรายได้ถล่มทลายเป็นประวัติศาสตร์ของหนังอินเดีย เป็นหนังแก่นธรรม ที่ทุกคำพูดคมคาย ซาบซึ้ง ทุกฉากทุกตอน ถ้าตั้งใจดูจะเห็นว่าเป็นเรื่องความเชื่อที่สร้างขึ้นมาจากความกลัว… พระเอกของเรื่องนี้ เป็นเสมือนตัวแทนของเหตุผลที่พยายามจะหักล้างความเชื่อที่ผิด ๆ โดยให้คนใช้ปัญญาก่อนจะเชื่อ ในขณะที่ผู้คนกลัว สิ้นหวังมากจนต้องตกเป็นเหยื่อของคนที่ฉลาดแกมโกงที่ตั้งสำนักปฏิบัติธรรมขึ้นมาหากินกับความกลัวของคนเหล่านั้น ถือว่าผู้กำกับกล้าสร้าง นักแสดงกล้าเล่น เพราะประเทศอินเดียเป็นดินแดนที่มีเชื้อชาติ ศาสนา ที่แตกต่างกันมาก (อินเดีย ประชากร 1,252 ล้านคน, 14 ภาษา, 6 ศาสนา) ซึ่งในปัจจุบัน… ประชากรส่วนใหญ่ของอินเดียนับถือศาสนา ฮินดู 81.3 %, มุสลิม 12 %, คริสต์ 2.3 %, ซิกส์ 1.9 %, พุทธและเชน 2.5 % ) แต่ผู้กำกับกล้าสร้างหนังที่เอาความเชื่อของคนที่มีต่อพระเจ้า ซึ่งแตกต่างกัน มาผูกเรื่องให้เป็นหนังที่มีครบรส ทั้งความเชื่อ ความรัก และศาสนา ผ่านตัวนักแสดงที่ช่างคัดเลือกมาแบบตีบทแตกทุกคน โดยเฉพาะนางเอกนั้น ลบภาพนางเอกหนังอินเดียสมัยก่อนที่เราเคยดูโดยสิ้นเชิง ส่วนพระเอกของเรื่องรับบทโดย อาเมียร์ ข่าน(Aamir Khan,आमिर ख़ान) ซึ่งนอกจากจะหล่อ กล้ามเป็นมัด ๆ แล้วยังแสดงได้ดีมาก โดยเฉพาะการทำหูกาง ตาโต แบบมนุษย์ต่างดาว ที่เรายังทึ่งว่าทำได้อย่างไร เล่นดี ตีบทแตก สะกดคนดูอย่างเราทุกฉาก แถมบางฉากก็ทำเอาเราอิน แอบน้ำตาซึมก่อนที่จะรีวิว เราได้ถามคนที่เรารัก และ เพื่อน ๆ ที่เราสนิทสนมว่า เคยดูหนังเรื่องนี้กันมั้ย… ทุกคนที่เราถาม(ย้ำว่าทุกคน) ล้วนส่วยหน้าและตอบว่า ยัง บางคนก็บอกว่า เล่าให้ฟังหน่อย (ขอเล่าผ่านรีวิวนี้ละกัน)Review… Pk ผู้ชายปาฎิหารย์เพื่ออยากรีวิวเก็บไว้ในความทรงจำ อาจจะเป็นการรีวิวหนังที่ละเอียดมาก ๆ (ขออนุญาตย้ำอีกที ใครไม่ชอบการสปอยหนัง ก็ไปหาดูได้ในยูทูปนะคะและไม่ควรอ่านต่อค่ะ)- พระเอก(Pk) ถูกส่งมาจากต่างดาว เพื่อมาทำวิจัยสิ่งมีชีวิตบนดาวโลก- ดาวของพระเอกไม่สวมเสื้อผ้า ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่หินสีเขียวหยกคล้องคอ เสมือนเป็นรีโมทไว้ติดต่อยานอวกาศที่มาส่ง ให้มารับเมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจบนดาวโลก- พระเอกถูกชายบนดาวโลกขโมยรีโมท โดยโยนวิทยุของเขาใส่พระเอกก่อนหนีไป- พระเอกสะพายวิทยุ ตัวล่อนจ้อน สื่อสารกับใครก็ไม่ได้เพราะไม่รู้ภาษามนุษย์บนดาวโลก- พระเอกเห็นรถที่จอดข้างทางดิ้นได้ เดินเข้าไปดู เห็นชายกับหญิงมีเซ็กส์กันอยู่ในรถ เลยได้เรียนรู้ว่า คนบนดาวโลกก็เปลือยกายเหมือนกัน และเรียกรถที่จอดข้างทางว่ารถเต้นได้- พระเอกเรียนรู้ว่า ถ้าจะหาเสื้อผ้าใส่ ต้องไปหาตามรถเต้นได้ และเรียนรู้การแต่งกายที่แตกต่างกันระหว่างผู้ชาย ผู้หญิง ชุดเที่ยว ชุดนอน ชุดออกกำลัง เรียนรู้การแต่งกายเป็นแฟชั่น และการใส่ชุดตำรวจนั้นอาหารจะมาถึงเองโดยไม่จำเป็นต้องใช้เงิน(ฉากนี้เหมือนจะแดกดันอาชีพตำรวจนิด ๆ แต่ความน่ารักของพระเอกในชุดตำรวจก็ทำให้หนังฉากนี้ผ่านไปแบบน่าเอ็นดู)- พระเอกเริ่มสะสมรูปคานธี ด้วยการฉีกโปสเตอร์ข้างทาง ตามกระดาษหนังสือพิมพ์ เพื่อจะเก็บไปแลกอาหาร และได้เรียนรู้ว่า รูปคานธีที่อยู่ในกระดาษที่เรียกว่าธนบัตรเท่านั้น จึงจะแลกอาหารได้- พระเอกถูกรถชน คนที่ขับรถชนสงสารเพราะคิดว่าพระเอกความจำเสื่อม เลยชวนพระเอกมาอยู่บ้านด้วย- พระเอกได้จับมือผู้หญิงโสเภณี 6 ชม. เพื่อดึงข้อมูลด้านภาษา ทำให้พระเอกพูดและสื่อสารภาษามนุษย์ได้- หลังจากสื่อสารได้ พระเอกไปแจ้งความกับตำรวจ เพื่อให้ช่วยจับคนที่ขโมยหินรีโมท ตำรวจบอกว่า มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยได้ นั้นเป็นครั้งแรกที่พระเอกได้ยินและรู้จัก… พระเจ้า- พระเอกเที่ยวถามใคร ๆ ว่าเห็นหินรีโมทของเขามั้ย ก็ได้คำตอบแบบเดียวกัน พระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยได้- พระเอกเริ่มออกตามหาพระเจ้า ตามโรงพัก แจกใบปลิวรูปพระเจ้าตามป้ายรถเมล์ ขึ้นแจกตามรถไฟ ตามหาพระเจ้าที่โบสถ์(คริสต์) ในวัด(ฮินดู & พุทธ) ใน สุเหร่า(มุสลิม) เรียกได้ว่า ตามหาทุกที่ เรียนรู้ความเชื่อที่แตกต่างกันของแต่ละศาสนา และพระเอกก็เข้าใจว่า พระเจ้ามีหลายองค์ มีกฏแตกต่างกัน แต่ทำงานบริษัทเดียวกันคือ บริษัทศาสนา แค่มีผู้จัดการสาขาที่ต่างกัน (ถึงตรงนี้ ก็อยากสปอยเพิ่มเติมว่า หนังสร้างได้น่ารักมาก พระเอกสวมใส่สร้อยปะคำ สะพายวิทยุ เปิดบทสวดสวดอ้อนวอนพระเจ้า มีฉากน่ารัก ๆ และ น่าสงสารหลายฉาก โดยเฉพาะฉากที่ทำเอาเราน้ำตาซึมคือ ฉากที่พระเอกเข้าไปร้านขายเครื่องบูชาพระเจ้า แล้วหนังก็เปิดเพลงประกอบ แล้วพระเอกก็พูดกับรูปปั้นพระเจ้าองค์ต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในร้านว่า ข้าเข้าไปเรียนรู้คำสอนของทุกศาสนา ปฎิบัติทุกอย่างตามความเชื่อที่แตกต่าง แต่ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนได้ยินเสียง และตอบข้าเลย… 😭😭… ต้องไปหาดูเองจะได้อรรถรส)- พระเอกตามหาพระเจ้าต่อไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งมาเจอนักแสดงแต่งตัวเป็นพระศิวะ พระเอกให้พระศิวะ ช่วยตามหาหินรีโมท นักแสดงคิดว่าพระเอกบ้าก็วิ่งหนี พระเอกก็วิ่งตาม วิ่งไล่กันจนมาถึงห้องที่ ท่าธภัสวีร์(นักบวชของศาสนาฮินดูที่พ่อของนางเอกและผู้คนบางส่วนที่นับถือฮินดู เชื่อถือ เลื่อมใส ศรัทธา) กำลังสอนสาวก และบอกสาวกว่า ท่านไปนั่งภาวนาบนยอดเขาหิมาลัย แล้วพระเจ้าก็ได้มอบหินสร้อยสังวาลย์ของพระศิวะ พระเจ้าให้ท่านมาสร้างวิหารเพื่อเป็นที่เก็บหินนี้ เอาไว้ติดต่อพระเจ้า- พระเอกเห็นหินที่ท่านธภัสวีร์บอกสาวกว่า เป็นสร้อยสังวาลย์จากองค์ศิวะ ก็รู้ทันทีว่าสาวกทุกคนกำลังถูกหลอก เพราะหินนั้นคือ หินรีโมท ของพระเอกนั้นเอง- พระเอกบอกว่าเป็นหินของเขา และขอหินคืน - พระเอกถูกลูกน้องของ ท่านธภัสวีร์นำมาโยนทิ้งลงจากรถกลางถนน ท่ามกลางสายฝน พระเอกกระชากลูกประคำที่คล้องคอ คล้องแขน ทิ้งทุกเส้น และ… สิ้นศรัทธาในพระเจ้า(ฉากนี้ก็สร้างดี หนังสื่อให้เห็นว่า คนที่นับถือศาสนาเป็นถึงลูกน้องคนสนิทของผู้นำทางศาสนาแต่ไม่มีความเมตตาเลย โยนคนทิ้งจากรถในขณะที่ฝนตกได้เนี่ยนะ!! )ขอตัดฉากมาพูดถึงนางเอกบ้าง เพราะหลังพระเอกถูกลูกน้องธภัสวีร์ทำร้าย นางเอกต้องมาช่วยเหลือตามสไตล์ของหนัง - นางเอก ทำงานเป็นผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ เคยเห็นพระเอกแต่งตัวประหลาด คล้องคอ แขน ด้วยลูกประคำ สะพายวิทยุ เดินแจกใบปลิวตามหาพระเจ้า เลยอยากทำข่าวแปลก ๆ บ้าง เพื่อสร้างเรตติ้งให้ข่าวทีวีช่องที่นางเอกทำงาน- นางเอกชวนพระเอกมาอยู่บ้าน (ก่อนจะชวนก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้นางเอกเชื่อว่าพระเอกเป็นมนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่คนบ้าอย่างที่นางเอกเข้าใจในตอนแรก)… ต้องไปดูในหนังค่ะ บอกเลย… ซึ้ง - นางเอกและพระเอกพยายามช่วยกันกระชากหน้ากากของธภัสวีร์ ผ่านช่องข่าวทางทีวีที่นางเอกทำงานอยู่- พ่อนางเอกมาต่อว่า และบอกให้นางเอกหยุด และถามพระเอก ทำไมไม่กลัวพระเจ้า- พระเอกเลยแสดงให้พ่อนางเอกเห็นว่า พระเจ้าปลอม จะหากินกับความกลัวของคน - พระเอกใช้หินทาปูนแดง แล้วนำไปวางโคนต้นไม้ ผู้คนมากราบไหว้อ้อนวอน วางเงินและขอในสิ่งที่ตนเองต้องการ พระเอกพยามชี้ให้พ่อนางเอกเห็นว่า การหากินกับความกลัวของคนนั้นสร้างเงินได้ง่าย ๆ - พระเอกกับนางเอก พยายามกระชากหน้ากากธภัสวีร์ออกทีวี (มีหลายฉาก แต่เราขอเล่าแค่ฉากที่มีชายคนหนึ่งถามท่านนภัสวีร์ว่า เมียของเขาเป็นอัมพาตมานานแล้ว ทำยังไงจะหาย ท่านธภัสวีร์ก็ทำท่านั่งทางในเพื่อติดต่อถามพระเจ้า สักพักก็ตอบผู้ชายคนนั้นว่า ให้เดินทางไปเทือกเขาหิมาลัย แล้วเดินด้วยเท้าต่อไปอีก 8 วันถึงวิหาร ก็อธิษฐานขอ พระเอกก็เลยแย้งว่า ถ้าเป็นพระเจ้าที่แท้จริง พระองค์น่าจะบอกให้ผู้ชายคนนี้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ดูแลเมียให้ดี ดีกว่าการที่ต้องทิ้งเมียแล้วเดินทางไปตั้งไกล แถมพระเอกยังบอกว่า สงสัยสายกระแสจิตที่ธภัสวีร์ติดต่อกับพระเจ้านั้น น่าจะต่อสายผิด (Wrong number)- รายการ การต่อสายถึงพระเจ้าปลอม(Wrong number) ดังไปทั่วโลก - พ่อนางเอกส่งข้อความมา บอกว่า ผิดหวังในตัวนางเอกมาก ที่ยังพยายามทำลายความเชื่อและความศรัทธาของคนที่มีต่อธภัสวีร์- นางเอกเสียใจที่พ่อไม่เข้าใจ พระเอกปลอบใจนางเอกด้วยการสอนท่าเต้นผ่อนคลาย ฉากนี้ น่ารักม๊าก มั่ก - นางเอกพาพระเอกขับรถมอเตอร์ไซด์เที่ยว พระเอกตกหลุมรักนางเอก - ผู้คนเริมเสื่อมศรัทธาในตัวธภัสรีร์ หนังสือขายไม่ได้ ข้อความในทวิตเตอร์มีแต่คำด่า ธภัสวีร์เลยท้าพระเอกออกรายการ 1 คำถามกับ PK- ผู้ชายที่เคยขับรถชนพระเอก โทรมาบอกว่าจะมาหา และจะนำตัวผู้ชายที่ขโมยหินรีโมทของพระเอกมาสารภาพความจริงด้วยว่า ได้นำหินรีโมทนั้นมาขายให้ธภัสวีร์ในราคา 40,000 รูปี- พระเอกกับนางเอก ดื่มฉลองเพื่อรอความสำเร็จ และพระเอกมีโอกาสได้จับมือนางเอก พระเอกเลยได้รู้ความจริงว่า นางเอกมีคนที่นางเอกยังคงรักไม่ลืม(ความสามารถพิเศษของพระเอกคือถ้าได้จับมือใคร ก็จะอ่านใจคนนั้นได้) เป็นผู้ชายชาวปากีสถานแล้วหนังก็เดินทางมาถึงตอนอวสาน ทุกอย่างถูกเปิดเผย ความจริงถูกเปิดโปง รายการ 1 คำถามสุดท้าย กับ Pk ถูกถ่ายทอดสดไปทั่วโลก โดยมีหินรีโมทเป็นเดิมพัน ฉากนี้เดาเรื่องได้ง่ายว่าสุดท้ายพระเอกต้องชนะ (เพราะถ้าแพ้ พระเอกก็คงกลับบ้านไม่ได้) แต่อยากบอกว่า หนังสร้างได้ดีมาก การปะทะคารมกันระหว่างพระเจ้าตัวปลอม(นภัสวีร์) กับ Pk ปะทะคารมกันแบบ ใช้ภาษาได้คมคายมาก เล่าไปก็จะเสียอรรถรสเปล่า ๆ ต้องไปชมเองนะคะฉากก่อนจบ พระเอกและนางเอกนั่งรถโดยสารจากเดลีมาที่มันดาวา เพื่อรอยานอวกาศมารับพระเอกกลับดาวของพระเอก - พระเอกใส่เสื้อกลับบ้าน พร้อมหอบวิทยุและกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาก 2 ใบ รถมาถึงจุดที่พระเอกต้องลง พอรถจอดพระเอกปีนหยิบกระเป๋าที่อยู่บนหลังคารถ กระเป๋าหล่น นางเอกเลยเห็นว่า ในกระเป๋ามีแต่ตลัปเทป และถ่านวิทยุ เต็มกระเป๋า พอนางเอกถาม พระเอกบอกว่า บนดาวของเขาไม่มีถ่านขาย เขาอัดเทปเสียงนก เสียงหมา เสียงแตรรถ เสียงต่าง ๆ ไปเก็บไว้เปิดฟัง เวลาคิดถึงดาวโลก- รถออก กระเป๋าอีกใบยังอยู่บนหลังคารถ พระเอกวิ่งตามรถเพื่อเอากระเป๋า- ขณะที่นางเอกนั่งรอ เลยลองเปิดเทปฟัง ปรากฎว่ามีแต่เสียงนางเอก ไม่ว่าจะเปิดกี่ตลับก็มีแต่เสียงนางเอกเท่านั้น ไม่มีเสียงอย่างอื่นตามที่พระเอกบอกเลย และนางเอกก็เห็นนามบัตรที่พระเอกเขียนว่า…Juggu l love you - ยานอวกาศมารับพระเอก พระเอกเดินสะพายวิทยุพร้อมถือกระเป๋าใหญ่ทั้ง 2 ใบ โดยไม่หันหลังกลับมามองนางเอกอีกเลย นางเอกรู้แค่ว่า… ดาวโลกสอนให้พระเอกโกหกเป็น !!! รายละเอียดซึ้งๆ ปน ฮา น่ารักน่าเอ็นดู ยังมีต่อในตอนจบ แต่เราขอจบไว้ตรงนี้ละกัน เป็นการรีวิวหนังที่ละเอียดและยาวมาก (หนังยาวเกือบสามชั่วโมง)อินไม่อิน ก็คิดเอาเองละกันว่า หลังจากดูถึง 4 รอบแล้ว ยังไปค้นประวัติ ผลงานการแสดงของพระเอกที่รับบท พีเค ยิ่งพอรู้ว่าอายุหลักห้าสิบบวก และเคยมีน้ำหนักเป็นร้อยกิโล ยิ่งอินขึ้นไปอีก!!ตอนนี้ตกหลุมรัก… Pk ผู้ชายปาฎิหารย์จากต่างดาว ที่มาสอนเราให้รู้ว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เปรียบเสมือน กาย วาจา ใจ ในตัวของเรานั้นเอง Pk บอกพวกเราว่า พระเจ้าในจักรวาลนี้มี 2 องค์ คือองค์ที่สร้างพวกเราขึ้นมา(จริง) กับองค์ที่เราสร้างขึ้น(ปลอม) ซึ่งถ้าเป็นพระเจ้าองค์จริงนั้นท่านสามารถสร้างจักรวาลขึ้นมาได้และโลกของเราก็ใบเล็กนิดเดียว ท่านย่อมสามารถปกป้องตนเองได้ เราไม่จำเป็นต้องไปปกป้องท่าน ส่วนพระเจ้าองค์ปลอมนั้นให้เราทำลายทิ้ง ไม่ควรไปหลงเชื่อและศรัทธา เป็นหนังดีมาก ๆ อีกเรื่องของอินเดียที่อยากแนะนำค่ะ หนังสร้างได้น่ารัก ทั้ง ๆ ที่เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ถือว่าหนักเอาเรื่องนะ เพราะเป็นหนังเกี่ยวกับความเชื่อ ความศรัทธา ศาสนา ความกลัว แต่พระเอกก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่หนัก ๆ เหล่านั้นให้กลายเป็นหนังที่ดูแล้วอมยิ้มตาม หลายฉากที่หนัก ๆ ก็สื่อออกมาเชิงหยิกแกมหยอกได้อย่างน่าเอ็นดู #ความเชื่อต้องเจือด้วยปัญญา(คำสอนของพระพรหมมังคลาจารย์หรือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฎ์) ภาพประกอบทุกภาพ แต่งภาพโดยผู้เขียน : ไข่ฟู ครูนอกกรอบ