น้ำทำให้ชีวิตได้ก้าวย่าง หนทางทำให้ได้พบกับความสวยงาม การเดินทางเพื่อไปส่องนกในเอเชียที่สวยงามที่สุดครั้งแรก อาจจะเคยได้ยินนักท่องเที่ยวพูดถึงในหลายๆ ครั้งเกี่ยวกับทะเลสาบในกัมพูชา วิถีชีวิตที่อยู่กับน้ำ บ้านที่ลอยน้ำ การอาศัยอยู่กับน้ำ โดยสารเรือในชีวิตประจำวัน แต่จะมีน้อยคนนักที่รู้จักและมีโอกาสได้ไปสถานที่แห่งนี้ เพราะต้องใช้เวลาร่วมวัน การผจญภัยได้เริ่มขึ้น รู้เพียงว่า จะพาไปดูนก ส่องนก เช้าวันสุดท้ายของการพักอยู่ที่เสียมเรียบกัมพูชา ทางกลุ่มได้ตกลงกันว่าจะเดินทางไปทะเลสาบ และเดินทางเข้าไปชมนก ซึ่งจะต้องใช้เวลานาน ในการจะเดินทางไปลงเรือ ซึ่งหนทางที่จะไปลงเรือไกลออกไปจากที่พักมาก ชาวบ้านระหว่างทางที่รถแล่นไปนั้นจะนิยมในการขี่เกวียนที่ลากโดยวัว จะไม่ค่อยมีรถผ่านเท่าไหร่นัก ถนนก่อนที่จะถึงท่าเรือ พิกัด >>>>> Prek Toal Floating Village เรือออกจากฝั่ง เรือลำนี้จะพาพวกเราเดินทางชมทะเลสาบ ซึ่งเรือนี้จะเป็นเพียงเรือที่พสพวกเราไปถึงยังหมู่บ้านทะเลสาบของกัมพูชา จากนั้นเราจะต้องไปต่อเรือลำเล็กเพื่อเดินทางเข้าไปชมนก เพราะเรือลำใหญ่นั้นไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ เพราะเสียงดัง และค่อนข้างมีกลุ่มของต้นหญ้าเถาวัลย์ด้านล่าง ซึ่งอาจจะทำให้เรือติด เป็นความตื่นเต้นและเดินทางไกลมากกว่าจะถึงที่หมาย จุดแรกในการเปลี่ยนเรือ จุดนี้จะเป็นจุดที่เราเดินทางมานานแสนนานแล้วจะต้องมารอเปลี่ยนเรือที่นี่ ซึ่งเมื่อลงจากเรือลำใหญ่ ก็สงสัยเช่นกันว่าเรานั้นจะเดินไปส่องนกที่ไหน ด้านหลังท่าเรื่อไหม สถานที่แห่งนี้เป็นห้องเล็กๆสองห้องโล่งที่สามารถนั่งพักนอนพักรอเรือที่จะพาออกไปส่องนก แต่ก่อนที่เราจะเดินทางมาถึงที่นี่ เรียกได้ว่า นั่งเรือจนหน้าชากันเลยทีเดียว เรือพร้อมออกเดินทาง เรือพร้อมทุกคนก็เดินลงนั่งที่เรือ ซึ่งในเรือนั้น สามารถนั่งได้ประมาณสามคน สี่คนถ้าตัวเล็แหน่อย เพราะระยะทางที่เข้าไปยังบริเวณส่องนกนั้น จะเป็นช่องทางเล็กๆที่แหวกไปกับผักตบชวาเขียวๆ ที่คนที่นั่นใช้ในการประกอบอาหาร แต่ถ้าเป็นที่บ้านเรานี่คงจะไม่เหลือเพราะมันทำให้นำ้ในแม่น้ำเสีย แต่ที่นี่เยอะมาก เยอะจนต้องแหวกหาที่ว่างเพื่อพายเรือเข้ามารับ การลงเรือที่ง่ายที่สุดคือกะจังหวะการก้าวให้แม่นและนั่งลงทันที เพราะเรือจะโยกเบาๆ ตื่นเต้นยิ่งกว่าส่องนกอีก ท้ายเรือสำหรับถ่ายภาพ ขอบอกว่าระหว่างทางนั้นบรรยากาศดีและสวยงามมาก เพราะจะมองเห็นแสงของพระอาทิตย์ก่อนที่จะตกวิบวับๆ ตรงยอดของต้นไม้ สถานที่แห่งนี้มีเพียงกลุ่มของพวกเราเท่านั้นซึ่งไปด้วยกันประมาณสามลำ สังเกตได้ว่าเรือทุกลำนั้นจะติดเชือกจำนวนมาก เพื่อป้องกันกิ่งไม้หรือหญ้าติดใบพัด ซึ่งการนั่งเรือลำเล็กนั้นสบายเงียบ ซึ่งเราสามารถที่จะนอนได้ เพราะระยะทางไกล บ้านสำหรับส่องนก เมื่อเรือวิ่งมาใกล้จะถึง คนขับเรือนั้นบอกให้เรามองไปด้านหน้า ซึ่งมันคือต้นไม้ใหญ่ที่เกาะรวมกันประมาณสองสามต้น ด้านบนนั้นเป็นลักษณะเหมือนบ้านต้นไม้ไม่มีหลังคา เหมือนแพที่ทำด้วยไม้ไผ่ธรรมดา แต่คนขับบอกว่าแข็งแรง และถ้าหากตกลงมานั้นน้ำไม่ลึกมาก ตกไม่ถึงดินอย่างแน่นอน ตอนแรกก็ชั่งน้ำหนักตัวเองอยู่ว่าจะขึ้นไหม แต่ครั้งหนึ่งครั้งหน้าเราอาจจะไม่มีโอกาสได้มา เดินทางมาว่าลำบากแล้วต้องเอาให้สุด สุดท้ายก็ตกลงปีนขึ้น บันไดในการตะกายขึ้น การจะขึ้นส่องนกนั้น สิ่งที่เราต้องระวังคือกลัวก้าวพลาด เพราะถ้าพลาดคนที่ปีนตามเราอาจจะร่วงด้วยกันทั้งหมด บันไดนี้สูงประมาณห้าเมตรจากพื้นน้ำ แต่เป็นบันไดหวายแข็งแรงและเหนียวอยู่ กำลังในการดึงตัวเองขึ้นไปก็สำคัญ ดีหน่อยที่ว่าเรานั้นทานข้าวทานขนมตลอดเวลาเลยมีแรงเยอะ ขึ้นไปไม่นานก็ถึงแต่ตอนขึ้นนั้นไม่ได้มองลงมาด้านล่าง ใจมันหวิว ขึ้นและลงทางเดียวกัน ข้อจำกัดในการขึ้นนั้นอย่างแรกคือน้ำหนัก ต้องไม่เกินสองร้อยกิโล เพราะพื้นด้านบนนั้นเป็นไม้ไผ่และต้นไม้รายรอบทั้งหมด แต่เจ้าของบอกว่าไม่ต้องกลัวเพราะอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดไม่เคยพังหรือตกสักครั้ง ขึ้นไปส่องได้ทีละสองสามคน ซึ่งขี้นไปไม่กล้านั่งเลย สูงลิ่วขาสั่นบ้างแต่ทนได้ ไม้ถูกมัดด้วยเชือก มองจากด้านบน น่ากลัวกว่าตอนขึ้นคือตอนที่เราจะลง เพราะเราต้องตั้งท่าให้ดี เพราะบันไดนั้นตั้งฉากกับพื้นน้ำ เชือกที่ใช้ในการยึดไม้คือเชือกสีเขียวที่เขาบอกเหนียวแน่นรับน้ำหนักได้ สวยงามแต่ตื่นเต้น ส่องนกไม่ได้เห็นนกมากนัก กลัวตก ซึ่งเขาบอกว่าเราว่า เดี๋ยวหลังจากนั้นจะพาขับเรือเข้าไปใกล้ๆต้นไม้ที่นกอาศัยอยู่ เพื่อดูวิถีชีวิตนกใกล้ๆ เราเองรีบลงเลยเพราะสั่นมากไม่ที่เหยียบอยู่ กล้องสำหรับส่องนก ด้านบนมีกล้องพ้อมส่องและมีเจ้าของนั่งอยู่ ซึ่งเขาไม่ได้กลัวอะไรเลย แม้ว่าต้นไม้จะสั่นไหว เขาบอกว่าต้นไม้นี้ไม่หักง่ายเพราะเหนียวมาก นกที่เรามาดูนี้เป็นนกที่สวยที่สุดในเอเชีย ในต้นไม้หนึ่งต้นจะมีนกอยู่จำนวนมาก และสถานที่แห่งนั้นน้ำค่อนข้างตื้น นกจะเดินหาอาหาร เรียกได้ว่านกเยอะจนมองไม่ค่อยเห็นใบไม้ นกในหนึ่งต้นนั้นเชื่อว่าเป็นหนึ่งครอบครัว เพราะดูสนิทกัน ใช้คอยาวๆกอดกัน คงไม่รู้สินะว่ามีคนกำลังแอบมองอยู่ ลอยลำเข้าไปดูใกล้ๆได้ หลังจากที่ส่องนกตรงจุดส่องนก แล้ว ต่อไปเรือนั้นจะพาวนกลับไปที่เดิมที่เรามา เพื่อนั่งเรือกลับที่พัก ซึ่งในการที่เรานั้นจะเข้าไปใกล้นก เราจะต้องดับเรือเพราะจะได้ไม่รบกวนนกหรือทำให้นกตกใจ จุดที่จอดนั้นค่อนข้างไกล เพราะมีนกจำนวนหนึ่งบินมาอยู่ต้นไม้ใกล้ๆ คงมาดูว่าใครจะเข้าไปทำร้ายไหม หรือก็เป็นนกยามหรือนกดูแลคงามปลอดภัย ซี่งกลุ่มของพวกเรานั้นจอดดูนกนานเหมือนกัน แต่ก็ถ่ายภาพไม่ได้ เพราะตะวันใกล้จะตกดินแล้ว มองได้เพียงตาเปล่า ถ่ายภาพไม่เห็นนก ซึ่งน่าจะเป็นเวลาที่นกกลับรังเตรียมพักผ่อน เพราะไม่ขยับกันเลย มีแต่บางตัวที่โดนเบียดแล้วตกลงไปในน้ำ เพราะต้นไม้ต้นเล็ก ซี่งคนขับเรือบอกว่านกเหล่านี้จะอยู่ต้นไม้นี้เพียงต้นเดียว ต้นอื่นไม่ยอมอยู่ และจะอยู่เพียงที่ตรงนี้เท่านั้น มีบางช่วงที่บินออกไปหาอาหาร ในป่า ระหว่างทางกลับกับความตื่นเต้น จะออกจากป่ากันได้ไหม เพราะระหว่างทางกลับนั้นต้นผักตบชวาเปลี่ยนเส้นทาง แม้ว่าคนขับเรือนั้นจะชำนาญทาง แต่ด้วยช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาค่ำมืดตะวันตกดินไปแล้วจึงทำให้มองไม่ค่อยเห็น และต้องเสียเวลากับการ นำรากไม้ที่ติดใบพัดเรือออก เพราะเรือดับ ยิ่งดึกยิ่งน่ากลัว เพราะมองรอบไปทางไหนก็ไม่เห็นแสงอะไร นี่คงเป็นประสบการณ์หลงครั้งแรก เพราะตอนที่เรากลับนั้นฝนใกล้จะตกอากาศเย็นลง ทำให้ลมพัดแรง ผักตบชวาลอยมาปิดทาง แล่วทำให้สัญลักษณ์ที่คนเดินเรือเห็นนั้นหายไป ปกติแล้วเวิ้งน้ำแห่งนี้จะเหมือนกันทั้งหมด มีเพียงสัญลักษณ์เท่านั้นจะบอกว่าเรามาถูกทาง ถ้าหลงทางก็จะวนรอบไม่ไปไหนเสียที ขามาใช้เวลานานแล้ว ขากลับยิ่งคูณสองเพราะหลงและวนรอบเลยใช้เวลานาน และการทำความสะอาดใบพัดนั้นติดถึงสองครั้ง บนเรือพากันบ่นหิวกันหมด เมื่อเรือจอดยุงก็หิว พากันวนมาดูดจิ้มคิดดูสนุกขนาดไหน หลงจนเจ้าของเรือได้โทรถาม ต้นไม้สัญลักษณ์ก็ไม่มี เรือก็ไม่มีไฟหนุก แต่สุดท้ายคนเรือเก่งพาพวกเรากลับออกมาได้ ประสบการณ์สิ่งที่มีค่า ยากที่เราจะเจอ ทำให้เรารู้ว่าหนทางข้างหน้านั้นไม่มีสิ่งไหนกำหนดหรือวางไว้ได้ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด แม้ว่าเกิดที่นี่โอกาสที่จะหลงทางก็มี ทุกอย่างไม่แน่นอน แต่ความพยายามไม่ยอมแพ้เท่านั้นที่แน่นอน ภาพทั้งหมดเป็นของผู้เขียนเอง (อุ้งเท้าแมว)ห้องส่องร้านดังมาแรง รวมของกินอร่อยต้องโดน บอกสูตรเมนูลับที่ไม่ลับอีกต่อไป