ไลฟ์แฮ็ก
"Refinance" vs "Retention" แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน ? หรือเหมาะสำหรับคุณมากกว่า

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เชื่อแน่ว่าหลาย ๆ คงจะมีปัญหาเกี่ยวกับสถานะทางการเงินกันอย่างแน่นอนใช่ไหมคะ จากเมื่อก่อนรายได้พอเพียงกับรายจ่าย ปัญหาและความปวดหัวคงยังไม่เกิด แต่เมื่อเจอพิษเศรษฐกิจเช่นในปัจจุบันนี้ เราควรต้องมีการคิดใหม่ทำใหม่กันบ้างละคะ เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่มีมากกว่ารายรับ ดังนั้นเมื่อเราพบปัญหาและคาดว่าจะมีปัญหา เราควรจะศึกษาวิธีแก้ปัญหาของตัวเองไว้แต่เนิ่น ๆ กันนะคะ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นมาจริง ๆ สภาวะทางการเงินของเราจะได้ไม่ต้องสะดุดและชะงักไปเลยซะทีเดียว สำหรับผู้มีภาระด้านการเงินเดิมอยู่แล้วนั้นเราลองมาทำความรู้จักกับประโยชน์ในการ "Refinance" vs "Retention" แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน ? เมื่อเจอกับดอกเบี้ยที่สูงเกินไปกันคะ
Refinance คือ การยืนปรับลดดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าเดิมที่มีประวัติที่ดีในการจ่ายชำระ และต้องการลดภาระดอกเบี้ยสินเชื่อโดยการดำเนินการหาธนาคารที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าธนาคารเดินเพื่อยื่น Refinance ดอกเบี้ย
Advertisement
Advertisement
(ขั้นตอนการดำเนินการ)
- ผู้กู้ตรวจสอบเอกสารกู้เดิมของตัวเองให้เรียบร้อย
- เลือกและพิจารณาธนาคารใหม่ที่จะยื่น Refinance
- จัดเตรียมเอกสารตามนโยบายของธนาคารที่ยื่น
- จัดเตรียมค่าใช้จ่ายในการยื่นกู้ ตามนโยบายของธนาคารที่ยื่นกู้
- ยื่นเอกสารขออนุมัติการยื่นกู้กับธนาคารที่ยื่นกู้ใหม่
- รอการอนุมัติ
(ข้อดี)
- ผู้กู้จะได้ดอกเบี้ยที่ถูกกว่า
- สามารถเลือกธนาคารที่จะยื่น Refinance ได้ตามต้องการด้วยตัวเอง
- ได้รับการลดดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าสินเชื่อที่ใช้กู้ซื้อบ้าน สำหรับลูกค้าเดิมที่มีประวัติการผ่อนชำระดี
(ข้อเสีย)
- เอกสารจำนวนมาก ยื่นเอกสารเหมือนกับผู้ยื่นกู้ใหม่
- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เหมือนกับผู้กู้ใหม่ ทั้งค่าประเมิน ค่าธรรมเนียม รวมถึงค่าอัคคีภัย เป็นต้น
- ใช้เวลานานในการดำเนินการ ทำให้เสียเวลาในการดำเนินการ
- ผู้กู้ต้องหาข้อมูลของธนาคารที่จะยื่น Refinance ด้วยตัวเอง ทำให้เกิดความยุ่งยาก
Advertisement
Advertisement
(เอกสารในการดำเนินการ)
- เอกสารใช้เหมือนกับผู้กู้ใหม่
Retention คือ การขอเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับธนาคารเดิม
(ขั้นตอนการดำเนินการ)
- จัดเตรียมเอกสารตามนโยบายของธนาคารที่ยื่น (สัญญาเงินกู้, บัตรประชาชนตัวจริงและสำเนาบัตร, ทะเบียนบ้านตัวจริงและสำเนา) ซึ่งเอกสารจะมีไม่มากและไม่ยุ่งยากเช่นเดียวกับการ Refinance
- จัดเตรียมค่าใช้จ่ายในการยื่นกู้ ตามนโยบายของธนาคารที่ยื่นกู้ (บางธนาคารอาจจะคิดแค่เพียง 1% ของวงเงินกู้เท่านั้น ซึ่งต่างจากการ Refinance เป็นอย่างมาก)
- ยื่นเอกสารขออนุมัติการยื่นกู้กับธนาคารที่ยื่นกู้ใหม่
- รอการอนุมัติ (บางธนาคารอาจจะรอการอนุมัติแค่เพียง 7 วันเท่านั้น)
(ข้อดี)
- มีความสะดวก รวดเร็ว ในการดำเนินการ ใช้เวลาไม่นาน ทำให้ผู้กู้ไม่ต้องเสียเวลามากนัก เพราะธนาคารมีประวัติของผู้กู้อยู่แล้ว
- ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือค่าธรรมเนียมบางธนาคารอาจจะมี แต่ไม่แพง ประมาณ 1% ของวงเงินกู้เท่านั้น
Advertisement
Advertisement
(ข้อเสีย)
- ส่วนลดของดอกเบี้ยได้น้อยกว่าการ Refinance
(เอกสารในการดำเนินการ)
- สัญญาเงินกู้
- บัตรประชาชน
- ทะเบียนบ้าน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม "Refinance" vs "Retention" แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน ? นั้น ในเบื้องต้นก็คงต้องขึ้นอยู่กับการเลือกประเภทการยื่นกู้ให้ได้ตรงตามความต้องการและความเหมาะสมของสถานะของผู้ยื่นกู้เองนะคะ ก็ขอให้ผู้กู้สามารถเลือกประเภทของการยื่นกู้ให้ได้ตรงตามความต้องการของตัวเองให้มากที่สุดละกันคะ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้กู้เอง
ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ https://unsplash.com/
ภาพที่ 1.Photo by Kelly Sikkema on Unsplashhttps://unsplash.com/photos/3-Tc_5LROrM
ภาพที่ 2.Photo by Scott Graham on Unsplashhttps://unsplash.com/photos/OQMZwNd3ThU
ภาพที่ 3.Photo by Amy Hirschi on Unsplashhttps://unsplash.com/photos/JaoVGh5aJ3E
ปก Photo by Tierra Mallorca on Unsplashhttps://unsplash.com/photos/rgJ1J8SDEAY
ความคิดเห็น
