ไหนขอเสียงคนอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติหน่อยเร้วววว~ สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ช่วงนี้คิดว่าหลาย ๆ คนกำลังประสบพบเจอกับคำว่า “เบื่อ” อย่างแน่นอน ก็แหม... ปกติได้ออกไปใช้ชีวิต ไปเรียน ไปทำงาน หรือไปเที่ยวกันใช่มั้ยละคะ แต่พอมาช่วงนี้ก็จำเป็นที่ต้องกักตัวอยู่บ้านกันแทนนี่สิ แรก ๆ มันก็ชิวอยู่หรอกนะคะ ได้นอนพักผ่อน ได้ทำในสิ่งที่อยากทำมานานแต่ไม่มีเวลา ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง กับครอบครัว กับคนรัก กับสัตว์เลี้ยง ...แต่ !!! พอเวลาผ่านไปสักพัก “ความเบื่อ” ต้องมาเยือนเพื่อน ๆ แน่นอน เพราะว่าการอยู่แต่ที่เดิม ๆ ทำแต่กิจวัตรเดิม ๆ ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้พบเจอใคร เป็นปกติที่เราจะเบื่อจะเซ็งกันได้ง่ายมากค่ะโดยเฉพาะวงการของคนที่ชอบดูหนังแล้วนั้น บอกได้เลยค่ะว่า “น่าเบื่อมากกกก” หนังที่กำลังจะเข้าโรงก็เลื่อนฉาย อีกทั้งโรงหนังก็ถูกสั่งปิดชั่วคราว พอจะหาหนังดูอยู่บ้าน ไอ้ช่วงแรกของการกักตัวก็มีลิสต์หนังที่อยากดูเยอะอยู่นะคะ แต่พอดูไปดูมา ก็มีแต่เรื่องซ้ำ ๆ เดิม ๆ เนื้อเรื่องเดิม ๆ ทั้งนั้น ไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นเร้าใจ เดาทางออกไปสะหมด ยิ่งทำให้สถานการณ์การกักตัวนั้นยิ่งน่าเบื่อคูณเข้าไปอีก เห้อออ T_T“เบื่อจัง ไม่รู้จะดูอะไรดี ไม่ต้องดูแล้วกัน”หยุดก่อนค่ะ ! เพื่อน ๆ คนไหนกำลังมีความคิดแบบนี้ หยุดก่อนค่ะ ใครกำลังเบื่อหนังเดิม ๆ วันนี้เรามีลิสต์ “หนังอินเดีย” ที่จะทำให้เพื่อน ๆ เปลี่ยนความคิด และอาจจะทำให้การดูหนังในช่วงกักตัวหยุดเชื้อเพื่อชาติของเพื่อน ๆ จะไม่น่าเบื่ออีกต่อไปแน่นอนค่ะ“หนังอินเดีย... ก็มีแต่ร้องเพลง เต้นรำกันทั้งเรื่อง”อันนี้ก็พักก่อนนนน !! จริงอยู่ค่ะที่หนังอินเดียนั้น ส่วนใหญ่จะมีเอกลักษณ์ตรงที่การร้องเพลงและเต้นรำ แต่ใช่ว่าทุกเรื่องจะน่าเบื่อเสมอไปนะคะ ลองเปิดใจดูรายชื่อหนังด้านล่างต่อไปนี้ก่อนค่ะ แล้วเพื่อน ๆ จะมีมุมมองต่อ “หนังอินเดีย” ที่เปลี่ยนไปจากเดิมแน่นอนใครพร้อมแล้ว ไปเริ่มที่เรื่องแรกกันเลยค่า~3 idiots (2009) เริ่มกันที่เรื่องแรก “3 idiots” เป็นเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนรักสามคน ที่ได้มีการพนันกันในสมัยเรียนไว้ว่า อีกสิบปีข้างหน้า จะมารวมตัวกันอีกที เพื่อที่จะดูว่าใครประสบความสำเร็จมากที่สุด เนื้อเรื่องดำเนินไปโดยเล่าย้อนในทิศทางสมัยปัจจุบันสลับกับอดีต ที่ทั้งสามคนได้เข้าเรียนในคณะวิศวกรรมของมหาวิทยาลัยที่ถือว่าสอบเข้ายาก โดยหนังจะนำเสนอมุมมองของตัวละครแต่ละคนในเรื่องทัศนคติต่อ “การศึกษา” ที่แตกต่างกันออกไป หนังมีการสอดแทรกแนวคิดไว้หลากหลาย จนหลายคนที่ดูจบแล้วอาจจะเริ่มเกิดคำถามกับตัวเองได้ว่า “เราเรียนไปเพื่ออะไร?” หรือ “เราได้อะไรจากการศึกษา?” หรือกระทั่ง “จริง ๆ แล้ว ตัวตนเราคือใคร?”แต่หนังก็ไม่ได้นำเสนอในรูปแบบที่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย ตัวหนังยังคงความคอมเมดี้ ที่มีเนื้อหาเหมาะสม ดูได้ทุกเพศทุกวัย และที่สำคัญคือการสอดแทรกปรัชญาแนวคิดในเรื่องการเลือกเส้นทางชีวิตไว้ได้อย่างแยบยล ทำให้หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์ดึงดูดในวงการหนังมาอย่างยาวนาน อาจกล่าวได้ว่า ใครที่ชื่นชอบหนังอินเดีย แทบทุกคนต้องยกให้ “3 idiots” ขึ้นหิ้งเป็นหนังทรงคุณค่าเรื่องหนึ่งของอินเดียอย่างแน่นอนคะแนน : 10/10 มีร้อยก็ให้ร้อย หักไม่ลงจริง ๆ ค่ะ แนะนำให้หาดูให้ได้ !!! 2 . PK (2014) เรื่องต่อมา เราขอพาทุกคนไปรู้จักกับหนังทรงคุณค่าอีกเรื่อง นั่นก็คือ “PK” หรือชื่อเรื่องในภาษาไทยว่า “ผู้ชายปาฏิหาริย์” เป็นเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาว หรือก็คือพระเอกของเรื่องนี้แหละ ได้รับมอบหมายภารกิจให้มาทำการศึกษาสิ่งที่เรียกว่า “มนุษย์” เมื่อยานอวกาศได้พาตัวเขาลงจอดที่พื้นโลกแล้ว พระเอกของเราก็ไม่ทันได้ระวังตัว โดนผู้ชายคนนึงที่ผ่านมาวิ่งราวทรัพย์ และผู้ชายคนนี้ยังได้ขโมยสิ่งที่เรียกว่า “รีโมท” ที่เป็นตัวการสำคัญในการเรียกยานแม่เพื่อพาพระเอกกลับดาวที่เขาได้จากมาอีกด้วย เมื่อไม่มีรีโมท แน่นอนว่าเขาก็กลับบ้านไม่ได้ เรื่องราวดำเนินต่อไปโดยที่พระเอกของเรา ได้พยายามตามหารีโมทของเขา ด้วยความที่ไม่ใช่มนุษย์โลก ทำให้เขามีการกระทำที่ประหลาด จนทำให้คนทั่วไปเรียกเขาว่า “นายเมา” จนวันหนึ่งเขาได้คำแนะนำว่า ให้ไปขอความช่วยเหลือจาก “พระเจ้า” ทำให้นายเมาพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้เจอกับพระเจ้า และหวังว่าพระเจ้าจะพาเขากลับบ้านได้ในที่สุดความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ ก็คือการที่หนังกล้าหยิบยกประเด็นของ “ศาสนา” ที่ถือได้ว่าเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน นำมาถ่ายทอดได้อย่างสนุกสนานและแฝงมุมมองแนวคิดได้อย่างคมคาย จนคนดูสามารถคิดตามได้อย่างเหลือเชื่อ และเสน่ห์อีกด้านที่อยากกล่าวถึงของเนื้อหาหนังก็คือ หนังไม่ได้ชักจูงจนเกิดความแตกแยกในประเด็นศาสนาแต่อย่างใด เพียงแค่นำเสนอ “ความจริง” อีกด้านที่ทำให้เราเหล่าคนดูได้กลับไปคิดเองต่อ เพราะทัศนคติในประเด็นนี้ ไม่สามารถบังคับกันได้ นอกจากนี้ยังมีการเสียดสีประเด็นต่าง ๆ ของสังคมอินเดียได้อย่างน่าสนใจ ตัวอย่างเช่น ประเด็นข้อพิพาทระหว่างประเทศอย่างอินเดียและปากีสถาน ที่ทำให้ตัวละครเอกของเรื่องไม่สามารถคบหากันในฐานะคนรักได้ เป็นต้นส่วนตัวมีความเห็นว่า ถึงแม้หนังจะหยิบยกประเด็นเรื่องศาสนามาเล่าเปรียบเทียบ แต่ก็ไม่ได้นำเสนอในรูปแบบที่เครียด กดดัน หรือไม่เหมาะสมแต่อย่างใด ยังคงมีความโรแมนติกคอมเมดี้ ที่ทำให้หนังสามารถดำเนินเรื่องไปได้อย่างไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย ควรค่าแก่การรับชมเป็นอย่างมากคะแนน : 9/10 ขอหัก 1 คะแนนค่าน้ำตา ที่ดูไปดูมาน้ำตาไหลตอนไหนก็ไม่รู้ ต้องไปลองดูเองค่าาาา 5555553 . Taare Zameen Par (2007) เรื่องที่สาม ขอแหวกแนวโดยมีนักแสดงเด็กเป็นนักแสดงนำร่วมในเรื่องนี้ค่ะ เป็นเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งชื่อ “อิซาน” ที่มีบุคลิกลักษณะสมาธิสั้น และแสดงออกพฤติกรรมในลักษณะที่ก้าวร้าว กล่าวได้ว่าเป็น “เด็กพิเศษ” รูปแบบหนึ่ง ทำให้พ่อของเขาที่มีบุคลิกเข้มงวด ตัดสินใจพาอิซานไปสมัครเรียนในโรงเรียนประจำ เพื่อหวังจะให้ลูกชายได้มีพัฒนาการที่ดีขึ้น การที่ต้องจากบ้านที่เคยอยู่อาศัย จากอ้อมอกแม่ที่ใจดี ทำให้อิซานเสียใจเป็นอย่างมาก รวมไปถึงการได้รับแรงกดดันจากผู้เป็นพ่อ ที่มักจะเปรียบเทียบตัวของอิซานกับพี่ชายของอิซานเสมอ ๆ หนังเริ่มน่าสนใจมากยิ่งขึ้นเมื่อมีตัวละคร “ครูสอนศิลปะ” หรือพระเอกของเรานั่นเองจ้า เขาได้เข้ามาทำความรู้จักกับอิซาน เริ่มเข้าใจภาวะที่อิซานเป็น และสิ่งที่อิซานต้องพบเจอ และการพยายามดึงสิ่งที่ดีในตัวอิซานออกมาให้ประจักษ์แก่สายตาคนอื่น ที่มักจะผลักไสว่าอิซานเป็นเด็กไม่เอาไหน หรือก็คือเพื่อลบคำสบประมาทเหล่านั้นนั่นเองเป็นอีกเรื่องที่ต้องยกขึ้นหิ้ง เรียกน้ำตาได้อย่างสุดซึ้ง มีการพูดถึงประเด็นทางสังคมในหลายเรื่อง อย่างเช่น ระบบการศึกษาของอินเดียที่ยังคงมีบางส่วนที่ไม่เอื้ออำนวยต่อเด็กพิเศษ แรงกดดันจากครอบครัว เป็นต้น ไม่ดูถือว่าพลาดมากจ้า นักแสดงทุกคนสวมบทบาทกันได้อย่างสุดยอดคะแนน : 9/10 ขอหัก 1 คะแนนค่าน้ำตาอีกแล้วค่า ควรค่าแก่การดูมาก ๆ ตามไปดูโลดดดดด4 . Hichki (2018) เรื่อง “Hichki” หรือชื่อเรื่องแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “สะอึก” เป็นหนังแนวให้กำลังใจ สร้างแรงบันดาลใจอย่างมากในการทำตามความฝัน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค หนังเริ่มต้นจากหญิงสาวคนหนึ่งที่มีภาวะโรคประจำตัวที่เรียกว่า “โรคทูเร็ตต์(Tourette Syndrome)” ลักษณะอาการป่วยก็คือจะมีอาการสะอึก ที่ควบคุมไม่ได้ และไม่มีการรักษาให้หายขาดได้ และโรคนี้แหละ ที่เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้นางเอกขอบเราเกือบจะไม่ได้ประกอบอาชีพครูที่ตัวเองใฝ่ฝัน แม้ว่าจะมีโปรไฟล์การศึกษาที่ดีมากแค่ไหน แต่คนมักจะมองกันที่ภายนอก คิดตัดสินกันไปเองว่าการที่นางเอกสะอึกตลอดเวลาจะทำให้เธอเป็นครูที่ดีไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งมีโทรศัพท์มาหาเธอ ให้เธอไปสัมภาษณ์ในตำแหน่งครูของโรงเรียนแห่งหนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่า เธอจะต้องรับผิดชอบในการสอน “ห้องเด็กท้ายแถว” ของโรงเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นงานหินสำหรับเธอเลยก็ว่าได้ แต่เธอก็ยิ้ม และรับงานนั้นมาด้วยความมั่นใจ ยึดมั่นใจอุดมคติที่แน่วแน่ของตัวเองอย่างยอดเยี่ยมหนังเริ่มสนุกมากขึ้นตรงการปะทะกันระหว่างครูที่เป็นโรคทูเร็ตต์กับแก๊งนักเรียนตัวแสบประจำโรงเรียน นางเอกของเราที่ทำให้ได้เห็นว่าคนมีความสามารถ แม้จะมีอุปสรรคทางร่างกาย ก็ไม่สามารถทำให้เธอด้อยลงไปได้ เป็นอีกเรื่องที่นำเสนอสังคมอินเดียในเรื่องการเหยียดกันทางการศึกษา ฐานะทางบ้านของเด็กท้ายแถวที่มีพื้นฐานจากสลัม เนื้อหาน่าติดตาม ดราม่า ซึ้ง และแฝงแง่คิด ครบรสคะแนน : 9/10 ขอหักอีก 1 คะแนนค่าน้ำตา ฮืออออ ซึ้งมาก ก่อนเริ่มดูก็ไม่คิดว่าจะมาเสียน้ำตากับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ฮ่าาาา5 . English Vinglish (2012) เรื่องสุดท้ายที่จะแนะนำในวันนี้แล้ววววว ไม่พูดถึงเรื่องนี้คงไม่ได้ เพราะเรื่องนี้สะท้อนความสำคัญของ “ภาษาอังกฤษ” อย่างเห็นได้ชัด ตัวบทหนังเริ่มต้นที่นางเอกของเรื่อง “ชาชี” เธอเป็นแม่บ้านที่มีหน้าที่คอยดูแลลูกและสามี รวมทั้งทำขนมขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เธอทำหน้าที่แม่บ้านได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ถึงอย่างนั้น เธอมีจุดด้อยอยู่ที่ “ภาษาอังกฤษ” ทักษะด้านภาษาอังกฤษของเธอไม่สู้ดีนัก การพูดของเธอก็มีสำเนียงที่แปลก ๆ จุดนี้ทำให้เธอมักจะโดนสามีและลูกของเธอนั้นสบประมาทอยู่บ่อยครั้ง แต่เธอก็ไม่ได้อะไร จนกระทั่งวันหนึ่งเธอต้องไป “อเมริกา” เพื่อไปร่วมงานแต่งงานของญาติ เมื่อไปถึงที่หมายแล้ว ชาชีก็พบเจอเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกเสียความมั่นใจ และในที่สุดเธอก็ได้ไปลงเรียน “คลาสภาษาอังกฤษ” ระยะสั้น เพื่อหวังจะพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเองให้ดีขึ้นหลังจากนี้หนังก็ได้นำเสนอมุมมองของตัวละครอื่น ๆ ที่ได้มาเรียนภาษาคลาสเดียวกันกับชาชี ที่มีปมด้านภาษาอังกฤษที่แตกต่างกันไป แต่ทุกคนล้วนมีจุดมุ่งหมายที่จะพูดภาษาอังกฤษให้ได้ดีเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นแล้ว หนังยังได้หยิบยกประเด็น “กลุ่มเพศทางเลือก” มาสอดแทรกไว้ในหนังอย่างแยบยลอีกด้วย ประเด็นอื่น ๆ ก็จะเป็นในเรื่องสะท้อนสังคมอินเดียที่ยังมีบางส่วน ยังคงมอง “เพศหญิง” ว่ามีหน้าที่แค่ดูแลบ้านและครอบครัว เป็นต้นเป็นอีกเรื่องที่ฉีกแหวกแนวในการสร้างหนังได้อย่างน่าสนใจ เนื้อหาสนุก คงไว้ซึ่งสาระ ไม่เสียเวลาที่จะหยิบมารับชมแน่นอนจ้าคะแนน : 9/10 ขอหักเล็กน้อยในบางส่วนของหนังที่อาจจะเอื่อย มีน่าเบื่อไปบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้อยากหยุดดูแต่อย่างใด ยังคงอยากแนะนำให้ทุกคนได้ไปรับชมกันให้ได้เลย สาระจัดเต็มเรื่องนี้ !!!❥ สุดท้ายนี้ อยากจะให้กำลังใจเพื่อน ๆ ทุกคนว่า เราจะต้องผ่านพ้นวิกฤติโควิดนี้ไปได้ในที่สุด ระหว่างนี้ถ้าใครยัง “เบื่อ” ก็อยากให้ลองหยิบ “หนังอินเดีย” ที่เราได้แนะนำไปบ้างแล้วนั้นมารับชมกัน แล้วเพื่อน ๆ จะรู้ว่าที่เราเกริ่นไว้ข้างต้น “หนังอินเดียไม่ได้มีดีแค่ร้องและเต้น” เป็นจริงหรือไม่กันแน่ รอทุกคนพิสูจน์กันอยู่นะ :) ขอบคุณรูปภาพจาก :ภาพประกอบที่1 จาก https://bit.ly/3blUz80ภาพประกอบที่2 จากค่าย Vinod Chopra Flims และ https://imdb.to/3eyp64uภาพประกอบที่3 จากค่าย Vinod Chopra Flims และ https://imdb.to/2zeVVmNภาพประกอบที่4 จากค่าย Aamir Khan Productions และ https://imdb.to/2VK9IcUภาพประกอบที่5 จากค่าย Yash Raj Films และ https://imdb.to/3asLo4zภาพประกอบที่6 จากค่าย Hope Productions และ https://imdb.to/2VKGLgJ