ซีรีส์ที่ทุกคนคงตั้งหน้าตั้งตา และคงพลาดไปไม่ได้กับ Sex Education Season 3 กลับมาสานต่อความสนุกบน Netflix แล้ว โดยเพิ่งเข้าสตรีมมิ่งไปเมื่อ 17 กันยายนที่ผ่านมา และนี่ก็เป็น Season สุดท้ายแล้ว นับได้ว่าเป็นคลาสสุดท้ายของห้องเรียนเพศศึกษา หลังจากที่เราเรียนรู้และเติบโตกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ Season 1 - 2 นับเป็นเวลาเกือบสามปีแล้ว และในปีนี้ก็เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่โอทิสและเหล่าผองเพื่อนจะได้ใช้เวลาร่วมกัน ซึ่งใน Season นี้ ประกอบไปทั้งหมด 8 ตอน แบ่งตอนละเกือบหนึ่งชั่วโมงโดยประมาณ หลักๆภาพรวมเนื้อหาภายในซีรีส์นี้จะพาเราไปสำรวจบทสรุปของความสัมพันธ์และการเติบโตของตัวละครต่างๆ โดยเป็นเรื่องราวที่ต่อจาก Season 2 หลังจากที่โรงเรียนมัวเดลได้มีการจัดการแสดงละครเพลง Sex ที่สร้างข่าวให้แพร่สะบัดไปทั่ว และเหตุจากการเปิดคลีนิกให้คำปรึกษาเรื่องเพศของเมฟและโอทิส จนก่อให้เกิดความสับสันวุ่นวายในความรู้สึกของทั้งคู่ว่าจะไปจบอย่างไร *เนื้อหาที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ อาจมีการเปิดเผยถึงเนื้อหาสำคัญบางส่วนของเรื่อง* เปิดมาใน Episode แรกนั้น เริ่มด้วยฉากการมี Sex ของทุกคนมาตัดต่อสลับรวมกัน ถือว่าเป็นการเปิดตัวแบบฉบับ Sex Education จริงๆ ใครที่ดูตอนแรกอาจจะต้องเบาเสียงลงนิดนึง (5555) แต่ผู้เขียนเองชอบการใส่เนื้อหาในตอนแรกนี้มาก ประเด็นในตอนแรกนี้จะเน้นไปที่ความแตกต่างของอวัยวะเพศ ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย การบิดเบี้ยว ขนาดเล็กหรือใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องที่แปลก แต่มันคือความ Unique ที่ร่างกายของแต่ละคนมี แต่ประโยคที่เมฟพูดในตอนนี้ กลับน่าประทับใจยิ่งกว่า คือตอนที่เมฟพูดกับไคล์ ว่า "จำไว้ว่าการถึงจุดสุดยอดไม่ใช่เรื่องจำเป็นของการมี Sexสิ่งสำคัญคือเราสามารถสนุก แล้วก็สร้างสรรค์ไปกับมันได้" เป็นประโยคที่ช่วยให้ไคล์กลับไปมีความสุขกับร่างกายตัวเองได้อีกครั้ง และนี่อาจเป็นประโยคที่ช่วยให้ใครบางคนหรือแม้กระทั่งผู้ชมเองก็มีกำลังใจและมั่นใจในร่างกายตัวเองได้มากกว่าเดิมด้วยก็ได้ โดยอีกประเด็นต่อมาที่ผู้เขียนเองค่อนข้างชอบในเรื่องนี้ คือ การพยายามให้การพูดคุยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ข้ามผ่านปัญหาไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกันเพื่อแก้ไขปัญหาตรงๆ หรือการพูดคุยเพื่อปรึกษาหาคำตอบจากคนอื่น อย่างในซีนที่ พ่อของโอล่า และแม่ของโอทิส จะกลับมาคบและอยู่ร่วมกัน ก็มีการไปหาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการปรึกษา หรือแม้กระทั่งการพูดคุยกับเพื่อน ระบายด้วยการอัดหมอนอย่างที่โอล่าบอกให้อดัมทำ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายตามไปด้วย ในซีรีส์เรื่องนี้ทำให้การบำบัดหรือรับคำปรึกษาในการใช้ชีวิตคู่เป็นเรื่องธรรมดามากๆ นี่จึงเป็นจุดที่สนใจว่าถ้าหากเราสามารถนำมาพัฒนาหรือปรับปรุงให้ในประเทศไทยเราเองมีพื้นที่สำหรับกิจกรรมตรงนี้อย่างปลอดภัยและเป็นเรื่องธรรมดา ก็คงจะดีมากๆ และหลังจากที่โรงเรียนมัวเดล ได้มีการรับครูใหญ่คนใหม่เข้ามา "โฮป" ที่เข้ามาพลิกโฉมและจัดระบบของโรงเรียนให้กลับมารุ่งโรจน์ตามที่เธอต้องการ โดยเริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนยูนิฟอร์ม ขีดเส้นทางเดิน เปลี่ยนการเรียนการสอนของวิชาเพศศึกษา แม้การเข้ามาในครั้งนี้จะทำให้การแรงต่อต้านและอุปสรรค แต่สุดท้ายก็ยิ่งทำให้เด็กๆมัวเดลมีความกล้าที่จะพูดและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น "มนุษย์เราเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้นเสมอ" และการเติบโตในช่วงวัยรุ่นนี้เป็นช่วงเวลาที่งดงามมากที่สุด ว่ากันว่าวัยหนุ่มสาว คือชีวิต หนุ่มสาวคือดอกไม้ คือเปลวไฟ และพายุในขณะเดียวกันพายุที่พร้อมจะกวาดล้างทำลายความชั่วร้ายที่ขวางหน้า บ้าคลั่ง และพร้อมปลดโซ่ตรวนแห่งการกดขี่ การเติบโตในวัยนี้จึงเต็มไปด้วยแรงที่พร้อมจะพุ่งไปข้างหน้าเสมอ ซึ่งในซีรีส์เรื่องนี้ก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงาม จากการเรียนรู้และเติบโตมาพร้อมตัวละครต่างๆภายในเรื่อง เราเองก็สัมผัสได้ว่าทุกคนล้วนเติบโตผ่านจากมุมมองในความรักและสิ่งที่พวกเขาเจอมา ไม่ว่าจะเป็นตัวละครผู้ใหญ่อย่างจีน ที่เป็น แม่ โอทิส หรือครูใหญ่กรอฟท์ ที่เป็นพ่ออดัม หรือตัวละครผู้ใหญ่อื่นๆ ล้วนก็เติบโตจากการเลี้ยงดูลูกๆ และสิ่งที่ทำให้เห็นอย่างชัดเจนคือการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ส่งผลต่อลูกโดยตรง ทำให้เกิดคาแรคเตอร์ของเด็กๆแต่ละคนอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งซีนที่ชอบมากอีกหนึ่งซีนคงหนีไม่พ้นใน Episode 7 ที่พาเราย้อนกลับไปดูชีวิตในวัยเด็กของครูใหญ่กรอฟท์ หรือ ไมเคิล ว่าโดยอะไรมาบ้างจนทำให้เขาเองก็ส่งพฤติกรรมนี้ไปให้ อดัม ลูกของเขาเองอีกที ส่งผลให้ชีวิตของไมเคิลเป็นอย่างนี้ และเกิดความล้มเหลวในความสัมพันธ์ต่างๆ ด้วยเทคนิคในการเล่าก็งดงามมากด้วยฉาก และการลำดับภาพ ที่ค่อยๆบีบให้เล็กลงจนเป็นขนาดจอแบบแนวยาว ทำให้เรารู้สึกเข้าถึงบรรยากาศเก่าๆและเข้าใจไมเคิลมากกว่าเดิม ประทับใจมาก และส่วนของตัวละครหลักอื่นๆเองก็เติบโตขึ้นทั้งหมด แต่มีอยู่สองคนที่ผู้เขียนค่อนข้างชอบมาก คือ อดัม และ รูบี้ สองคนนี้มีคาแรคเตอร์และพัฒนาการที่น่าสนใจ เพราะเป็นตัวละครที่ไม่พูดเยอะในแง่ของความรู้สึก และปิดกั้นตัวเองออกจากสังคมพอสมควร การเล่าผ่านตัวละครนี้จึงต้องเน้นการกระทำ และสีหน้าท่าทางค่อนข้างมาก แต่จะเล่าด้วยท่าทางยังไงด้วยอาการที่อึกอัก พูดไม่ได้เพราะพูดความรู้สึกของตนไม่เก่ง ทั้งต้องก้ำกลืนฝืนทนเก็บความรู้สึกและอธิบายความรู้สึกอย่างไรถึงจะผ่านปัญหาและมีความสุขในเรื่องราวต่างๆไปได้ โดยเฉพาะอดัม ในตอนท้ายๆเองก็มีการพัฒนาและการตามหาตัวตนของตัวเอง ซึ่งตรงนี้เราก็ชอบมาก หลายๆคนอาจจะคิดว่าการชอบหรือตามหาตัวตน ตามหาแพสชั่นจะต้องเป็นอะไรที่หลายๆคนอยากให้เราเป็น แต่ตอนที่อดัมตอบกลับมาว่า "i like dog" คือมันเรียบง่ายมาก และมันจบในตัวแบบนั้นเลย ซึ่งมันก็แค่นั้นแหละ มันไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่สังคมอยากให้เราเป็นก็ได้ เราแค่ชอบหมาก็ได้ มันก็จบแบบนั้น เท่านี้เลย สุดท้ายนี้หลังจากที่ดูจนจบ ซีรีส์เรื่องนี้มันสอนอะไรเยอะมากในเรื่องของเพศศึกษา ถ้าเป็นโรงเรียนตอนนี้ก็คงถึงตอนที่เราทุกคนเรียนจบแล้ว และครูใหญ่ ก็คือ Sex Education ที่พาเราเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับตัวละครต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โอทิส เมฟ เอมี่ อดัม เอริค และรวมถึงคนอื่นๆด้วย อย่างที่เราทุกคนก็รู้กันเป็นอย่างดีว่าวัยรุ่นคือรวดเร็วดั่งพายุ รุนแรงเหมือนไฟ และงดงามราวกับดอกไม้ ดังนั้นความเข้าอกเข้าใจสำหรับวัยนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด และ Sex Education ได้ตอบทุกโจทย์สำคัญไว้แล้ว นับได้ว่าเป็นซีรีส์ Coming of Age ที่เล่าเรื่องการมี Sex ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของการสอดใส่ แต่เป็น Sex ที่ปลอดภัย ถูกสุขอนามัย และเพิ่มความมั่นใจให้กับทุกคนที่ได้ดู ทั้งยังทำให้เรารักตัวเอง รักในสิ่งที่ตัวเองเป็น นี่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าใครยังไม่ได้ดู กดเปิด Netflix แล้วรับชมกันด่วนเลยhttps://www.youtube.com/watch?v=WM0uYpEvgZA Credit รูปภาพภาพปกทั้งหมดจาก Facebook Sex Education : 1,2,3,4,5,6 ภาพประกอบที่ 1,2,3,4,5,6 จาก Facebook Sex Educationขอบคุณวิดีโอจาก NetflixThailand : สรุปเนื้อเรื่อง Sex Education ใน 3 นาที ก่อนดูซีซั่น 3 สามารถรับชมได้ที่ Netflix ผ่านกล่อง True ID TV 🎬🎬 อัปเดตหนังฮอต อนิเมะฮิต ดูซีรีส์แล้วติดก็แวะมาแชร์กับคอมมูนิตี้ TrueID Entertainment ได้เล้ย 📺✨อัปเดตข่าว ดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี!