ทุกวันนี้มองไปทางไหนก็เห็นซีรีส์ วรรณกรรม และภาพยนตร์วัยรุ่นอยู่เพียบ ต้องยอมรับเลยว่ามันเป็น Genre นึงที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมมากๆในปัจจุบัน ผมในฐานะวัยรุ่น Gen Z คนนึงที่โตมาในยุคทีสื่อประเภทนี้กำลังเฟื่องฟูไม่ว่าจะเป็น Pretty Little liars, Riverdale, 13 reasons why, Gossip girl และอีกมากมายที่ถ้าจะให้ลิสต์รายชื่อทั้งหมดคงจะไม่ไหว พอมีโอกาสได้ย้อนกลับไปดู The Breakfast Club ก็ต้องบอกเลยว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่สร้างฐานที่ค่อนข้างแข็งแรงรวมถึงเป็นโมเดลให้ซีรีส์และภาพยนตร์ในยุคนี้หลายเรื่อง ถึงแม้ว่ามันจะมีภาพยนตร์วัยรุ่นอีกหลายเรื่องที่มาก่อน แต่ไม่มีเรื่องไหนที่โด่งดัง เป็นที่รู้จักที่ยาวนานได้แบบเรื่องนี้ 35 ปีจะผ่านมาแล้วนับตั้งแต่วันที่หนังเข้าฉายเป็นครั้งแรก แต่การดูในปี 2020 นั้นสำหรับผมแล้วไม่รู้สึกเลยว่าหนังเรื่องนี้มันเชยหรือเก่าจนเกินไป ความคลาสสิคของตัวภาพยนตร์มันคงอยู่และคงยังไม่ตายลงในเร็วนันนี้ ซ้ำแล้วมันยังอาจจะกลายเป็นกรณีศึกษาสำหรับโครงสร้างหนังหลายๆเรื่องในอนาคตต่อไปเหมือนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บทความนี้ผมจะมารีวิวรวมถึงชำแหละตัวละคร 5 กลุ่มในหนังนะครับ ด้วยความที่ภาพยนตร์ออกมานานแล้วบทความนี้จะมีการสปอยล์นะครับ สามารถรับชมภาพยนตร์เรื่อง The Breakfast Club (1985, Dir. John Hughes ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix)รีวิว ถ้าปกติใครติดตามบทความผมอยู่จะเห็นว่าผมจะใส่เรื่องย่อก่อนรีวิว แต่รอบนี้ขอข้ามมาพาร์ทนี้เลยนะครับ เพราะเนื้อเรื่องทั้งหมดคือเด็กวัยรุ่น 5 คนที่ถูกเรียกมากักบริเวณที่โรงเรียนในวันเสาร์พร้อมเขียนรายงานส่งก่อนหมดวันว่าแต่ละคนนิยามตัวเองไว้ว่ายังไง สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้มันน่าสนใจไม่ใช่เนื้อเรื่องครับ แต่เป็นตัวละคร ภาพยนตร์เรื่องมันค่อนข้าง Character Driven มากๆ ด้วยความที่ตัวละครแต่ละคนนั้นค่อนข้างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง (ถึงแม้จะเหมือนกันในบางแง่มุม เดี๋ยวผมจะลงลึกประเด็นนี้อีกทีนะครับ) ทำให้เกิดบทสนทนาที่น่าสนใจมากมาย และสร้างเคมีที่ค่อนข้างแปลกให้กับตัวละครทั้ง 5 จะเหมือนกับว่าพวกเขาต่างฝ่ายต่างเริ่มเข้าใจกันและกัน ซึ่งมันดูไม่น่าเป็นไปได้เลยในช่วงต้น รวมไปถึงตัวละครอย่างครูที่เรียกตัวเด็กทั้ง 5 มากักบริเวณ ซึ่งไม่เคยคิดจะฟังความเห็นใดๆเลยเพราะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางด้วยความเชื่อที่ว่าเขายอมรับไม่ได้ถ้าต้องมีเด็กแบบนี้มาเป็นผู้นำอนาคตในยุคต่อไป จนเขาหลงลืมไปว่านี่มันเป็นช่วงเวลาเดียวที่พกวเขาจะใช้ชีวิตแบบบ้าคลั่งได้ หลงลืมไปว่าครั้งนึงเขาเคยเป็นเด็กเหมือนกัน ซึ่งตัวละครนี้ก็สร้างสีสันให้กับเรื่องได้มากอยู่เหมือนกัน ประเด็นที่น่าสนใจมากๆในเรื่องนี้คือ Stereotyping (การเหมารวม) ว่าเด็กแบบนี้ถูกจัดอยู่ในประเภทนี้ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แบ่งเด็กออกเป็น 5 กลุ่มหลักๆ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของสิ่งที่ครูมองเห็นในตัวเด็กพวกนี้ The Athlete - Andy Clark รับบทโดย Emilio Estévez ถ้าพูดง่ายๆก็คือพวกนักกีฬาหรือที่เราเห็นกันในซีรีส์สมัยนี้จะใช้คำว่า Jocks โดยคนส่วนใหญ่ตีความว่าคนกุ่มนี้จะมีความเป็นชายสูงมากหรือ High Masculinity ต้องทำตัวเหมือนว่าแข็งแรงอยู่ตลอดเวลา เป็นเสือผู้หญิง เป็นดาวเด่นของโรงเรียน รักในกีฬาและต้องการทำมันเป็นอาชีพ ส่วนมากมักจะพูดข่มคนอื่นรวมถึงเป็น Bully (คนที่คอยกลั่นแกล้งคนอื่นตลอด) ซึ่งในเรื่องนี้จะเห็นว่าเคสของ Andy คือการที่เขาไปแกล้งสมาชิกในทีมอีกคนในห้องแต่งตัว แต่ถ้าลองมองลึกไปมากกว่านั้น ตัวละครนี้กลับถูกสังคมตีตราไปเองเพราะแท้จริงแล้วเขาแบกรับแรงกดดันจากครอบครัวไว้สูงเกินไป โดยเฉพาะเรื่องของทุนมหาลัยสำหรับนักเรียนที่เด่นเรื่องกีฬา รวมถึงพ่อเขาก็ไม่ว่าด้วยซ้ำเรื่องที่ถูกกักบริเวณซึ่งเป็นการสปอยล์พอสมควร ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ต่างจากเด็กธรรมดาคนนึงที่ต้องแบกควาฝันของพ่อเอาไว้ The Princess - Claire Standish รับบทโดย Molly Ringwald ภาพพจน์ของเธอคือเจ้าหญิง ควีน คนสวยประจำโรงเรียนที่อยู่กับกลุ่มเพื่อนแบบป๊อปูล่า ซึ่งคนอื่นอาจจะมองว่าเธอหยิ่ง และเอาตัวเองเป็นหลักในขณะที่ไม่ค่อยแคร์ความรู็สึกคนอื่นแต่อย่างใด เธอมักจะถูกตีค่าความเป็นเธอจากของสวยงามที่เธอใส่ จนกระทั้งบางคนเรียกเธอว่าลูกคุณหนู ในส่วนของตัว Claire เองนั้นเธอแสวงหาการยอมรับทางสังคมเพราะเธอนั้นอาศัยอยู่ในกลุ่มเพื่อนแบบนั้น ทำให้เธอไม่กล้าพูดบางเรื่องออกมาตรงๆโดยเธอยกตัวอย่างประเด็นนึงไว้ในเรื่องซึ่งน่าสนใจมากๆคือ "ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายทุกคนก็จะมองว่าฉันหวงตัว ถ้าฉันบอกว่าฉันเคยมีอะไรกับใครทุกคนก็จะหาวันฉันง่าย" สังคมโรงเรียนมัธยมนั้นเราทุกคนล้วนถูกตีค่าตามภาพที่คนอื่นอยากให้เป็น น้อยคนที่จะได้เป็นตัวของตัวเองจริงๆ การที่เธอเป็นลูกครอบครัวคนรวยในเรื่องนั้นก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตเธอจะสบายเพราะท้ายที่สุดแล้วของสวยๆงามๆที่เธอเอามาติดตัวก็มาจากเงินพ่อแม่ทั้งนั้น เธอไม่ได้ภูมิใจในตรงนี้เลย The Brain - Brian Johnson รับบทโดย Anthony Michael Hall กลุ่มนี้ทุกคนอาจจะรู้จักกันดีว่า เด็กเนิร์ด ด้วยภาพลักษณ์เป็นเด็กติ๋มและดูจะฉลาดไปซะทุกเรื่อง จนบางครั้งก็ต่อปากต่อคำกับคนอื่นโดยไม่รู้ตัวจนคนอื่นอาจจะหมั่นไส้ได้ไม่ว่าจะเป็นครูหรือนักเรียน เหมือนไข่ในหินที่พ่อแม่คอยดูแลตลอดและพยายามสนับสนุนในด้านการเรียน เป็นเด็กดีของครอบครัว แต่หารู้ไม่ว่าความจริงแล้วตัวละครนี้ก็แบกรับแรงกดดันไม่แพ้คนอื่นเพราะไม่มีใครเก่งไปซะทุกอย่าง เขาได้ลงเรียนวิชางานช่างเพราะคิดว่ามันจะได้เกรง่ายๆแต่เขาก็ค้นพบว่าตัวเองนั้นเก่งในด้านทฤษฎีมากกว่าปฎิบัติ และงานที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำโคมไฟในวิชาช่างนั้นกลับล้มเหลวไม่เป็นท่าจนตัวเขาได้ F ถึงแม้ว่าเขาจะทำเกรดวิชาอื่นได้ดีแค่ไหนแต่วิชานี้ก็จะดึงทำให้เขาได้ค่าเฉลลี่ยแค่ B อยู่ดีจนเขาคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ซีเรียสมากๆในสหรัฐ จากที่ฟังเรื่องราวมีแค่เด็กกลุ่มนี้ด้วยว้ำที่รู้ว่า Brian เอาปืนพลุมาที่โรงเรียนทำไม ทำให้การคุยกันของทั้ง 5 คนมันเหมือนเป็นการบำบัดสภาพจิตใจของ Brian ไปในตัว อีกทั้งเขายังนับทุกคนว่าเป็นเพื่อนอีกจากเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่อยู่ด้วยกัน จนเกิดคำถามที่จุกที่สุดจากในหนังขึ้นมานั่นคือ "วันจันทร์จะเกิดอะไรขึ้น เราทุกคนยังจะคุยกันแบบนี้อยู่ไหม" ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้กันดีว่ามันคงเป็นไปได้ยากThe Criminal - John Bender รับบทโดย Judd Nelson เด็กเกเรประจำโรงเรียนที่โดนเรียกมากักบริเวณวันเสาร์เพราะข้อหาร้ายแรงแบบยาเสพติด มีความคิดแบบขบถ ต้องการต่อต้านทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นครูหรือเพื่อนคนอื่น แสดงท่าที่ว่าตัวเองนั้นคูล เท่ อยู่ตลอดเวลา เขาเป็นคนที่คอยดูถูกคนอื่นด้วยวาจาแบบเสียๆหายๆ และหาเรื่องที่จะใช้ความรุนแรงอยู่ตลอดวเลา จากบุคลิกประมานนี้แล้วเราคงพอจะเดาออกว่าสิ่งที่เขาพบเจอคือปัญหาที่บ้าน และการกระทำที่ส่งออกมาคือการสร้างกำแพงให้รู้สึกว่าตัวเองปลอดถัยที่สุดเพราะจริงๆแล้วผมมองว่าเขาเป็นคนที่เปราะบางมาก ปัญหาการใช้ความรุนแรงในบ้านนั้นย่อมส่งผลกระทบมายังตัวเด็กทั้งทางจิตใจและร่างกาย อย่างที่เขาได้โชว์ถึงก้นบุหรี่ที่พ่อเอามาจี้ตรงแขนเขา เขาไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่เลยมีแต่คำด่า ความอบอุ่นคือสิ่งที่เขาแสวงหาเพราะแม้กระทั่งในวันคริสต์มาสแล้วของขวัญที่เขาได้รับกลับเป็นซองบุหรี่จากพ่อ เขาจึงรู้สึกอิจฉาคนอื่นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ Claire ที่ดูเหมือนว่าจะมีพร้อมทุกอย่าง ซึ่งมันก็อาจจะจริงแต่ตัว Claire เองก็มีปัญหาเหมือนกัน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเขาก็เริ่มจะเข้าใจว่าปัญหาและแรงกดดันที่ทุกคนได้รับมันค่อนข้าง Subjective เพราะแต่ละคนมีพื้นเพที่แตกต่างและเลเวลในการนิยามถึงความกดดันของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน The Basket Case - Allison Reynolds รับบทโดย Ally Sheedy คนแปลกประจำโรงเรียน ที่ไม่ค่อยจะมีเพื่อนและไม่มีใครอยากจะสุงสิงด้วย ตลอดครึ่งเรื่องแรกนั้นเราจะไม่ค่อยได้ยินเธอพูดอะไรเลย แถมเธอยังชอบลักเล็กขโมยน้อย พร้อมทั้งพูดโกหกออกมาได้น่าเชื่อถือตลอดเวลาเมื่อเธอเริ่มพูด ในส่วนของคนนี้เรื่องราวพื้นหลังค่อนข้างคล้ายกับ John แต่สำหรับครอบครัวเธอคือเธอถูกปล่อยละเลยไม่มีใครสนใจเปรียบเสมือนว่าเธอล่องหน เธอยังบอกอีกว่าเธอเลือกที่จะถูกกักบริเวณเพียงเพราะแค่เธอไม่มีอะไรที่มันน่าทำกว่านี้อีกแล้ว เธออาจจะดูเป็นคนไม่สนโลกแต่จริงๆแล้ว Allison นั้นยังมีความเป็นเด็กในตัวอยู่สูงมากๆ เนื่องจากเธอกลัวการเติบโต กลัวว่าวันนึงจะโตกลายเป็นแบบผู้ใหญ่ที่เธอไม่ชอบ รวมถึงมันยังอาจจะทำให้เธอสูญเสียหัวใจ ความสดใส ในวัยเด็กไป จริงๆแล้วเธอก็ยังแสวงหาเพื่อนหรือคนที่คอยพึ่งพาได้ตลอด เป็นเพียงคนเดียวที่บอกกับ Brian ว่า ถึงจะจบวันแต่สุดท้ายแล้วเราก็ยังจะเป็นเพื่อนกัน สุดท้ายเธอได้ลองก้าวผ่านอะไรบางอย่างเพื่อที่จะโตขึ้นอีกนิดและน่าจะพร้อมที่จะเข้าสังคมมากขึ้น ความเหมือนที่แตกต่าง บทสรุปสารสำคัญของเรื่อง พอดูจบผมดันย้อนนึกกลับไปถึงเพลง แตกต่างเหมือนกัน ที่ประกอบซีรีส์ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น เพราะสารสำคัญที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการจะบอกคือ ถึงแม้ว่าเราจะถูกจับไปไว้ในกลุ่มเด็ก หรือ Stereotype เหมารวมว่าตัวตนเราเป็นใคร แต่แท้จริงแล้ว เราก็อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น 100% รวมถึงเราอาจจะเหมือนกับเด็กกลุ่มอื่นก็ได้ สิ่งที่เด็กห้าคนที่แตกต่างนี้มีเหมือนกัน คือแรงกดดันที่เขาได้รับ ไม่ว่าจะเป็นจากสังคม ครอบครัว โรงเรียน ผู้ใหญ่ และอนาคตที่กำลังจะเข้ามาถึง ซึ่งแท้จริงแล้วตัวตนเราจะเป็นยังไงนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเราจะเลือกไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นมาตีตราว่าเราเป็น ท้ายที่สุดแล้วมันเลยเหลือเรียงความเพียงแค่แผ่นเดียวจาก Brian ที่เขียนไว้ว่า ไม่ว่าเราจะบอกว่าตัวตนที่แท้จริงเราเป็นใคร แต่ครูก็ไม่ยอมรับอยู่ดี เพราะครูได้เหมารวมไปแล้วว่าคนแบบเราต้องเป็นคนยังไง ขอบคุณรูปภาพทั้งหมดจาก IMDB และ Netflix รูปหน้าปก/ รูปที่ 1/ รูปที่ 2/ รูปที่ 3/ รูปที่ 4