The Half of It เป็นหนังโรแมนติก คอมเมดี้ ที่พึ่งปล่อยมาให้ชมกันได้ผ่าน Netflix เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากข้าพเจ้าได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็กล่าวดูได้หลังจบเลยว่า มันคือหนังรักที่บทประพันธ์ออกมาได้สะท้อนความจริงอย่างตรงไปตรงมาของเหล่า ความรักที่เรานั้นชั่งตามหา รวมทั้งยังกล่าวถึงบุคลิกที่จำแนกเรียกขานกันในยุคนี้ว่า Introvert และ Extrovert มันจึงไม่ใช่หนังรักดาษดื่นของอเมริกัน ที่มักจะนำเสนอมุมมองชาย หญิง ที่ดูงมงานเรื่องรักจนเหลือเชื่อ แต่มันแฝงไปด้วยนัยของความหมายการตามหาจุดหมายชีวิตแต่ละคน ซึ่งล้วนแล้วจุดหมายนั้นย่อมแตกต่างกันไป เหมือนจุดมุ่งหมายปลายทางของขบวนรถไฟของแต่ละคน ชั่งแตกต่างออกไปและจำเป็นหรือเปล่าที่จะต้องมีอีกครึ่งหนึ่งของวิญญาณที่เราตามหา ดั่งคำกล่าวเปิดหัวเรื่องที่นำคำกล่าวของ อริสโตฟานเนส นักปรัชญายุคสมัยปีก่อนคริสตศักราช ที่กล่าวว่าเราล้วนแล้วแต่เกิดมาเพื่อตามหาอีกครึ่งที่หายไปของวิญญาณ แต่ในยุครัตกาลแบบนี้ สิ่งนั้นยังจำเป็นต่อการดำเนินตามล่าความฝันอยู่หรือเปล่า แล้วอีกครึ่งหนึ่งของเรานั้น จะรู้ได้ยังไงว่านั้นใช่อีกครึ่งหนึ่งของเรา The Half of It คือหนังรักที่ตั้งคำถามต่อคำว่าความรักได้อย่างชาญฉลาด ที่มาพร้อมกับหลักปรัชญายุคก่อนที่ผันผวนไปตามกาลเวลาของกาลสมัย ที่จะให้ไปเชื่อเรื่องพระเจ้าก็คงจะยากนักสำหรับเด็กยุคนี้ เว้นเพียงแต่เด็กบางคนที่เติบโตมาในครอบครัวที่สืบทอดรัชสมัยมาเป็นเวลาช้านานนี่คือเรื่องราวของ... เอลลี่ ชู หญิงสาวจีน ที่มาเติบโตอยู่อเมริกัน ด้วยความฝันของพ่อเธอที่ต้องการจะเป็นวิศวกรตำแหน่งใดซักตำแหน่ง ที่การกีดกันทางเชื้อชาติ และกำแพงของภาษามันก็เลอค่ายิ่งกว่าใบปริญญาที่จบ ดอกเตอร์ ทำให้เธอและพ่อของเธอใช้ชีวิตเป็นคนคอยโบกและสับรางรถไฟ แน่นอนว่าการเติบโตมาท่ามกลางความแตกต่างทางวัฒนธรรม กับแม่สาวที่จากไปตั้งแต่เธอยังเด็ก ทำให้ตลอดการเติบโตขึ้นมาของเธอคือการอยู่กับหนังสือ ศิลปะ จึงบอกได้ว่า เอลลี่ ชู = Introvertเธอรับอาชีพเสริมโดยการเขียนเรียงความให้กับเพื่อนในห้องเรียน และวันหนึ่ง พอล ชายหนุ่มผู้เติบโตมากับครอบครัวที่ดำรงชีพด้วยการขายทาโก้ เบลล์ ที่สูตรลับของซอสไม่เคยเปลี่ยนเลยไม่ว่าร้านจะเข้าตาจนเจ๊งแค่ไหน แต่ก็ยังคงดำรงซึ่งความคลาสสิค นั้นเองที่ทำให้เขามีหัวคิดขบถ ต้องการจะเปลี่ยนแปลงความดั้งเดิมเหล่านั้นและวันหนึ่งเขาก็ได้หลงรักหญิงสาวนามว่า แอสเตอร์ หญิงสาวที่คลุกคลีกับหนังสือเป็น Introvert ไม่แพ้เอลลี่ชู พอล คิดจะส่งจดหมายถึงเธอเพราะเชื่อว่ามันโรแมนติกดี แม้ในทางรสนิยมเขานั้น จะไม่ได้มีความแตกต่างจากวัยรุ่นทั่ว ๆ ไปของเมกาเลย แต่เขาก็คิดว่านี้จะเป็นวิธีเขาหาผู้หญิงที่เขาหลงรักได้ดีที่สุด จึงได้ไปขอให้ เอลลี่ ชู เขียนจดหมายแทนเขา และแน่นอน เอลลี่ ชู ก็แอบชอบ แอสเตอร์ ด้วยเหมือนกัน ความสัมพันธ์ที่จะเรียกว่า 3 เศร้า ได้ไม่เป็นเต็มปากจึงเริ่มขึ้น มันเป็นขนมของคนรุ่นใหม่ ที่มักเฝ้าหาตั้งคำถามกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนถึงถ้าคนรุ่นก่อนที่ขนมของเขาคือการตื่นนอนและหางานทำเลี้ยงชีพ มิหมายจะควานหาความหมายของชีวิตและจักรวาล ถ้าได้มาเห็นพวกเราในตอนนี้ คงได้แต่นิ่วหน้าถามว่า จะอะไรกันหนักกันหนา คำถามเป็นสิ่งที่จำเป็นขนาดนั้นเชียวหรือ นั้นเองเป็นสิ่งที่เรียกว่า การต่อสู่ของทางชุดความคิด แน่นอนว่าแนวคิดที่ว่าตื่นมา หางานทำ และการเชื่อในการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้ามันยังคงสืบทอดต่อมารุ่นสู่รุ่นได้ ถ้าในยุคนี้ ผมขอยกให้มันเป็นคำว่า Introvert Vs Extrovert แล้วกันเพราะสองฝั่งนี้จะมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในเรื่องของรสนิม รวมไปถึงวิถีชีวิต แต่ใช่ว่าจะปฏิเสธสังคมดอกนะสำหรับ Introvert เพราะถึงอย่างไร คำนิยามของสองฝั่งนี้ล้วนลึกลงไปแล้วย่อมหมายถึง ก็มนุษย์เหมือนกัน มีรัก หวัง โลภ โกรธ สุข ทุกข์ ไม่ต่างกัน และต่างฝ่ายก็ต่างฉลาดในสิ่งที่อีกฝ่ายโง่ และโง่ในสิ่งที่อีกฝ่ายฉลาด นั้นเองเป็นสิ่งที่ตัวละครทั้งสามพาเราไปพบกับความจริงของชีวิตที่ต้องผิดหวัง ล้มเหลว มากกว่าการงมหาความรัก เพราะจะอย่างไรก็ตามชีวิตเราไม่ได้ยึดอยู่กับสิ่งเหล่านั้นเป็นการเดียว เพราะยังไงเราก็ต้องยอมรับความจริงว่า อนาคตที่สมหวังในความฝันย่อมสำคัญกว่าการพระเอกวิ่งไล่ตามนางเอกที่อยู่บนรถไฟ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าชั่งเป็นการกระทำแสนโง่เขลาแต่จะปฏิเสธหรือเปล่าว่า ลึก ๆ เองเราก็เฝ้าหาคนที่จะทำแบบนั้นกับเราเหมือนกัน นั้นเองอาจจะเป็นคำตอบว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าอีกครึ่งที่หายไปของเราเป็นใครกันแน่ อาจจะเป็นคนเราหลงรัก หรืออาจจะเป็นคนที่เราอยู่ด้วยแล้วเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้งอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่านี้มิใช่หนังรักธรรมดาสามัญ หรือไม่ใช่หนังรักแบบที่เราตั้งหมายว่าจะได้เห็น มันสะท้อนความจริงให้เราเห็นว่าชีวิตแต่ละคนมันไม่ได้สวยงามไปกว่ากันเลยแม้แต่นิด จะวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ หรือวัยไหน เมื่อเป็นมนุษย์แล้ว ย่อมต้องมีความเครียด กดดัน และสารพัดเหตุปัญหาที่พัดพาเข้ามาในชีวิตแตกต่างกันออกไป งานวิจิตรศิลป์ จึงอาจจะไม่ใช่ของสำหรับคนรวยเสมอไปก็เป็นได้ เมื่อมันสามารถพาเราหนีจากโลกแห่งความจริงได้ชั่วคราว นั้นก็ย่อมควรค่าแก่การสพสิ่งมัน แต่เมื่อสิ่งเหล่านั้นสิ้นสุด ก็ต้องเงยหน้ามาพบความจริงที่แสนระทมแก่ชีวิต ดังนั้นนี้เองตัวหนังจึงถามแก่เราว่า จะต่อกร หรือคล้อยตามในช่วงสุดท้ายของหนังที่ค่อย ๆ ให้ตัวละครแต่ละตัวมาเผชิญซึ่งกันและคลี่ปัญหาออกมา ค่อย ๆ เผยความลับแก่กัน อย่างชาญฉลาดที่ไม่เคยเห็นหนังรักเรื่องไหนทำแบบนี้มาก่อน คือ ใครมันจะบ้ายกบทกลอน คำปรัชญามาพ่นใส่กันซึ่งหมายลึก ๆ คือขอโทษนะ และฉันชอบเธอกันในชีวิตจริง แต่มันก็เป็นความบ้าบิ่นของคนที่เสพรสเดียวกัน ทำให้มองไปมองมาก็กลายเป็นโรแมนติกอย่างไม่น่าเชื่อ ภาพจบสุดท้ายของหนังไม่ใช่ภาพฝันอันสวยงามว่า แล้วคู่นั้น คู่นี้ก็อยู่กันอย่างมีความสุข แต่เป็นการจบลงที่ภาพของแต่ละคน แต่ละคู่ ที่อยู่บนขบวนรถไฟกำลังมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายของตัวเอง จึงสรุปรวมยอดกับหนังเรื่อง The Half Of It ได้ว่า เปิดภาพด้วยความรัก และจบลงด้วยภาพชีวิต และสุดท้ายเราเองที่อ่านปรัชญาของคนนู้น คนนี้มาโดยตลอด วันหนึ่งเราก็จะเริ่มสร้างคำปรัชญาของตัวเองขึ้นมา ให้ผู้คนรุ่นหลังได้สืบสานต่อไป ติดตามข้าพเจ้าเองได้ที่ยูทูป Funfrom production และได้ที่ Blockditภาพจาก : https://youtu.be/B-yhF7IScUE