The Nerd of Microsoft มิหมายเป็นเพียงหนังสือบันทึกของกาลช่วงหนึ่ง ที่ชีวิตชายหนุ่มชั่งฝันคนหนึ่ง ได้มีโอกาสกระทำบางสิ่งที่เข้าใฝ่ฝัน และเหล่า Nred และ Geek ทั้งหลายก็คงใฝ่ฝันไม่แพ้กัน นั้นคือการได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในพนักงานบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง Microsoftแต่หนังสือเล่มนี้ยังได้กล่าวถึงชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่มีความฝัน ไล่ล่าฝัน และความล้มเหลวเจ็บปวดประกอบเข้าไปด้วยฉะนั้นเองนี้จึงไม่ใช่หนังสือเพียงแค่คนที่รู้เรื่องคอม เป็นพวกเนิร์ดเท่านั้นที่จะอ่านรู้เรื่องแต่อย่างใด แต่มันเป็นวรรณกรรมชนิดหนึ่งที่พาสำรวจวิถีชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ที่ได้ก้าวข้ามผ่านประตูไปยังดินแดนที่ไม่รู้จัก ได้เปิดโลกของความต่างอารยธรรม ได้เปิดโลกของมิตรภาพที่แสนอบอุ่น และ...ได้เปิดโลกของคำว่า ความล้มเหลววันนี้ข้าพเจ้าเองจะพาทุกท่านไปสำรวจความเป็นคนผ่านการทำงานร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ในหนังสือ The Nerd of Microsoft กัน*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาหนังสือหนังสือเล่มนี้กล่าวถึง....มันเริ่มต้นที่(ข้อมูลจากคำนำในหนังสือ) โสภณ ศุภมั่งมี เนี่ยเข้าทำงานกับ Microsoft บริษัทแม่ที่แสนห่างไกลถึงพัน ๆ ไมล์ อเมริกา เขาได้กลับมาที่ไทยแล้วเริ่มต้นเขียนหนังสือ นำไปเสนอกับ Selmon books แต่ตอนนั้นไม่ใช่หนังสือเล่มนี้หรอก แต่เป็นหนังสือเชิงความเรียง กล่าวถึงชีวิตและความฝัน มันดูไม่เข้ากับแนวทางสำนักอย่าง Selmon เท่าใดนัก ต้นฉบับนั้นจึงถูกปรับตกไป แต่กลับกัน โอกาสที่สองมาใหม่แทน เพราะประวัติเรซูเม่ที่ โสภณ ยื่นมาให้กับทาง บ.ก ระบุว่าเคยทำงานที่ Microsoft เกือบ 5 ปี นั้นแหละจุดเริ่มต้นของหนังสือเล่มนี้คือจากนั้นนี้เอง เรื่องราวของหนังสือได้พาเราไปรู้จักกับคนเขียน โสภณ ศุภมั่งมี ตั้งแต่จุดแรกเริ่มของความฝันการเป็นโปรแกรมเมอร์ที่บริษัทยักใหญ่ ไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนเป็นพันไมล์ และแน่นอนกว่าชีวิตคนหนึ่งคนจะไปสู่จุดนั้นได้ ต้องพบกับอุปสรรคมากมายที่ต้องบากบั่น เพราะตั้งแต่เราเกิดมาก็ต้องใช้ บุคลากรเป็น 10 คน ในการพาคลอด แถมเกิดมาก็ร้องให้แล้ว จึงไม่แปลกแน่หากชีวิตที่มีความฝันนี้ ไล่ตามมันด้วยความหวังและความมุ่งมันนี้ จะต้องพบกับอุปสรรค แต่ในที่สุดเขาทำสำเร็จ เขาได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft และได้เจอกับเพื่อน พี่ น้อง มิตรภาพของคนหลากถิ่น ต่างอารยธรรม มาหลอมรวมเป็นทีมเดียวกัน และนี้แหละคือโดยรวมที่หนังสือเล่มนี้กล่าวถึง ลูกน้อง หัวหน้า และมิตรภาพประเพณีรับน้องไม่ใช่ว่าจะมีให้เห็นเฉพาะกับ มหาวิทยาลัย แต่บริษัทยักใหญ่นี้ก็มีให้เห็นเช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่การรับน้องที่โหดหินอะไรนักหรอกโสภณเข้ามาทำงานวันแรกก็ถูกหัวหน้าพาไปยังโต๊ะทำงานตัวเอง ซึ่งมันอยู่ห้องใต้ดิน! แถมยังเป็นเครื่องคอมสมัยยุค 80s นี่มันอะไรกัน โสภณคิดแถมยังถูกสั่งให้แก้โค๊ดที่บั๊กอีกจำนวยไม่น้อย แถมยังเป็นรูปแบบโค๊ดที่เก่ากึกขนาดนั้น และต้องให้เสร็จก่อนเที่ยง! นี่มันอะไรกัน นี่หรือ Microsoft ที่เขาใฝ่ฝัน แต่เขาก็สลัดความวิตกเหล่านั้นแล้วลงมือทำต่อไป แต่ก็ไม่สำเร็จพักเที่ยงมาถึง หัวหน้ามาพาเขาไปกินข้าว เขาโกรธที่ถูกพามาทำอะไรไม่รู้ เขาหงุดหงิดที่ถูกรบกวนตอนทำงาน แต่หัวหน้าก็ลากเขาออกมาจากตรงนั้นให้ได้ แล้วพามายังโต๊ะทำงานที่แท้จริงของเขา มันอยู่ชั้นบน ๆ ของออฟฟิศ สะอาดตา เป็นพื้นที่ทำงานที่ใฝ่ฝันจริง ๆ "นายคิดจะทำงานด้วยเครื่องบุโรทั่งแบบนั้นไปจริง ๆ น่ะหรือ" หัวหน้าเอ่ยปากกับเขา โสภณถึงกับอ้ำอึ่งพูดไม่ถูก อ่า นี่หรือ Microsoftนี่คือส่วนหนึ่งสั้น ๆ จากบทหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ ที่ผมชอบสุด ๆ มันทำให้เราเห็นว่า การทำงานอย่างมีความสุขนั้นเป็นยังไง ใช่แน่นอนเราเครียดกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ที่หากเราลืมการละเล่น หรือลืมความเป็นเด็กไป มุ่งมั่นแต่จะทำงานให้แล้วเสร็จ แบบนั้นใช้ Ai ก็ได้นะ ไม่ต้องเป็นคน แต่ที่เรายังไม่ใช้ Ai อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากเรื่องที่มันยังไม่เสถียรมากพอ สิ่งนั้นก็คือ จิตวิญญาณ เพราะมนุษย์มีวิญญาณ มีความรู้สึก เราจึงยังคงใช้คนด้วยกันเพื่อทำงานร่วมกัน ช่วยกันอยู่เสมอ และนี่คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่าง ลูกน้องกับหัวหน้าแม้ว่าสมาชิกในทีมจะแตกต่างกันในเรื่องของวัฒนธรรม อารยธรรม กันมาเท่าไหน แต่เมื่อมาอยู่รวมกันแล้ว สัตว์สังคมอย่างมนุษย์ก็พร้อมจะสร้างไมตรีแก่กัน และร่วมมือร่วมแรงทำการแก้บัค ที่อยู่ตรงหน้าไปด้วยกัน ไฉนจะเป็นเพียงบัคในโค๊ดแต่อย่างเดียว บัคชีวิตเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่พวกเขาช่วยกันแก้เช่นกัน อีกบทที่น่าสนใจมากก็คือ สงครามขนมปัง กล่าวโดยย่อ ใครมันกินขนมของฉันไป!! เชื่อว่าประสบการณ์เช่นนี้ต้องเกิดกับทุกคนแน่นอน ไม่ว่าเราจะแปะกระดาษตัวโตแค่ไหนว่า ห้ามกิน แต่คนแบบที่ว่านึกบันเทิงมันมีอยู่บนโลกใบนี้ แต่หลังจากสร้างสงครามใส่กันไปมา ผลก็คือ มิตรภาพเมื่อสงครามจบลง เหล่าทหารต่างพากันยื่นมือสัมผัสและสาบานจะช่วยเหลือกันต่อไปในฐานะ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แน่นอนว่าแกนหลักที่จบสงครามนี้นั้นก็คือ หัวหน้านั้นเอง หัวหน้าคือตำแหน่งที่ต้องตัดสินทำการอันใด ๆ ก็แล้วแต่ ให้ลุล่วงไปซึ่งปัญหาที่ก่ายกองอยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว มันจึงสำคัญมาก ๆ ที่เขาจะต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดหนังสือเล่มนี้อาจไม่ได้กล่าวให้เรารู้ว่า หัวหน้าที่ดีเป็นอย่างไร แต่กล่าวให้รู้ว่า หัวหน้าที่ทุกคนรักเป็นอย่างไร นี่คือชีวิตเมื่อวันหนึ่ง บริษัทจะทำการเปลี่ยนแปลงแผนกครั้งใหญ่ แน่นอนว่าแผนกที่โสภณและผองเพื่อนอยู่นั้นกำลังจะโดนยุบ พนักงานที่เหลือละ ต้องคอตกลอยแพกันไป แต่เปล่า เปล่าเลย แผนกใหม่ที่ถูกตั้งขึ้นมาใหม่แทนแผนกเดิม หัวหน้าได้จัดการโยกพนักงานตัวเองทั้งหมดไปทำงานแผนกนั้นเรียบร้อย ส่วนตัวเองก็ขอวางมือเพื่อจะไปใช้ชีวิตแบบวิถีคนแก่ทั่ว ๆ ไปเขาทำกัน อยู่กับภรรยา ปลูกต้นไม้ ไปเที่ยววันหยุด เต้นรำและจิบวายในคืนวันอาทิตย์ ทุกคนต่างปราบปรื้มต่อความเป็นหัวหน้าในตัวของหัวหน้าตัวเอง แม้จะต้องจากลา แต่ก็ต้องยอมรับและเข้าใจในการตัดสินใจ แล้วชีวิตของเราก็ต้องเดินหน้าต่อไป โดยยังมีความหลังที่สวยงามนั้น กลายเป็นความทรงจำที่หอบหวนเมื่อเรานึกถึงเสมอ อาจเกล่าได้ว่า เล่มนี้ได้บอกเราถึงคำว่าชีวิตนั้น ที่สุดแล้ว คือการให้ ส่งต่อแก่คนรุ่นต่อไป และเมื่อถึงเวลาของตัวเองก็ต้องวางมือและจากไปอย่างเงียบ ๆ อาจต้องเศร้าที่ต้องจาก แต่จะไม่เศร้าเลยเมื่อได้ยืนมองความสำเร็จที่เราส่งต่อไปให้คนรุ่นหลังจากเรา และนี่คือชีวิตอีกครั้ง เมื่อโสภณ จำต้องกลับบ้านไปกระทันหันเมื่อพ่อของเขาเกิดป่วยขึ้นมา และขอร้องให้เขากลับไปสานต่อธุรกิจที่บ้าน เป็นทางเลือกที่แสนเจ็บปวดจริงแท้ หากนี่เป็นเกมทางเลือก เราก็คงย้อนกลับมาเลือกเล่นสองทางเพื่อจะได้เห็นผลลัพธ์อันไหนคือดีที่สุด และค่อยไปต่อแต่นี่คือชีวิตจริง มันเลือกได้แค่ทางเดียว และทางนั้นจะนำไปสู่ขิตหรือเปล่า เราไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ โสภณ เขาเลือกกลับไปหาครอบครัวตัวเองแม้จะต้องเสียใจที่ต้องจากเพื่อน ๆ ที่ร่วมกันมาหลายปี ก็ตาม แต่เขาจะไม่มีวันลืม ช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเลยอย่างแน่นอน ติดตามข้าพเจ้าเองในรูปแบบ Poadcast ได้ที่ Blockditและช่องทางติดตามหนังสั้นของข้าพเจ้าเองที่ Youtubeรวมทั้งภาพถ่ายแบบถ่ายไรก็ถ่ายเหอะที่ IG สั่งซื้อหนังสือได้ที่ Se-Ed , Minimore