The subtle art of not giving a f*ckMark Mansonเป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของผู้เขียนที่ผ่านความผิดหวัง และล้มเหลวจากการใช้ชีวิตของตนเอง เป็นการบอกเล่าประสบการณ์ สิ่งที่ได้เรียนรู้ของผู้เขียนอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่หนังสือให้กำลังใจแบบโลกสวย แต่เป็นการกระตุ้นจิตใจ แบบเน้นให้อยู่กับความเป็นจริง หลายอย่างในหนังสืออาจจะไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่เป็นการเอามาเขียนแนวใหม่ ไม่ใช่หนังสือ How to แบบทั่วไป ที่จะมาบอกเราว่าอยากสำเร็จ อยากมีความสุข ต้องทำอย่างไรเป็นข้อๆ แต่เป็นการเอาความผิดพลาดของตัวเองมาเล่าแบบให้ข้อคิดข้อคิดที่ได้จากหนังสือการเก็บเอาความคิดเห็นของคนอื่นมาคิดทั้งหมด จะทำให้เราเครียด ประสาท และอาจจะรุนแรงจนถึงทำให้เราเกลียดตัวเองได้คนเรามักตกเป็นทาสความรู้สึกของตัวเอง หลายครั้งเรากังวลเพราะความกังวลของตัวเอง หรือเรารู้สึกแย่กับตัวเอง เพราะเรารู้สึกว่าตัวเองยังรู้สึกแย่กับเรื่องเดิมๆที่จบไปแล้วความรู้สึกไม่ดีต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เป็นเพราะเราไม่พอใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองยังขาด จึงต้องไขว่คว้าสิ่งต่างๆมาเติมเต็ม คนที่เห็นคุณค่าของตัวเอง จะสามารถยอมรับในสิ่งที่ไม่ดีของตัวเองได้อย่างเปิดเผย และพยายามที่จะหาทางแก้ไขทุกปัญหา ทุกอุปสรรค ให้กล้าเผชิญหน้ากับมันไปเลย ยิ่งเราหนี มันจะยิ่งมาหลอกหลอนเราทางเดียวที่จะเอาชนะความเจ็บปวด คือ การเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้เราอยากรู้ความจริงจากคนอื่น แต่ส่วนใหญ่เรามักจะรับความจริงนั้นไม่ได้ แต่ความจริงนั่นแหละ ที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะทำให้เรารู้สึกแย่บ้างก็ตามเราเกิดมาในสังคมที่คนส่วนใหญ่ ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ไขว่คว้าหาแต่สิ่งที่ตัวเองยังไม่มี และการที่เราถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกนั้น มันทำให้เราต้องดิ้นรน ต่อสู้ เพื่ออยู่รอด และเพื่อเอาชนะความเจ็บปวดทำให้เรารู้ข้อจำกัดของตัวเอง และเป็นสิ่งที่จะผลักดันให้เราต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง เพื่อออกจากความเจ็บปวดนั้นให้ได้ปัญหาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะมีความสุขได้ ไม่ใช่ขออย่าให้เจอปัญหา แต่ขอให้แก้ปัญหาให้ได้ เอาปัญหามาเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิตให้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆคนเราชอบหนีปัญหา หรือโทษคนอื่น เพราะมันง่าย และทำให้เรารู้สึกดีขึ้น พอเราทำบ่อยๆ เราจะกลายเป็นคนแก้ปัญหาไม่เป็น และเอาแต่โทษคนอื่นถ้าเราไม่คิดว่าเราต้องเป็นคนพิเศษอะไร และเราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนพิเศษด้วย เราจะเริ่มซาบซึ้งกับสิ่งง่ายๆรอบตัว และเริ่มมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นเราต้องรู้จักตัวเอง รู้ตัวอยู่ตลอด ว่าเรารู้สึกอย่างไรต่อเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ลึกไปกว่านั้น เราต้องถามตัวเองเสมอว่า ทำไม เราถึงรู้สึกแบบนั้น และที่สำคัญที่สุด คือเราต้องรู้ว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่มีค่ากับชีวิตเรา และคุณค่าของชีวิตเราคืออะไร เพราะหลายครั้งเราไปติดอยู่กับการให้ค่าของสังคมรอบตัว ต้องมีเงินร้อยล้าน มีรถหรู แต่พอเราได้สิ่งเหล่านั้นมา เราก็ไม่ได้มีความสุขมากขึ้น เพราะจริงๆแล้ว สิ่งเหล่านั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุดในชีวิตสิ่งที่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดในวันนี้ อาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องก็ได้ เราแค่เรียนรู้ที่จะผิดพลาดน้อยลงเอาความล้มเหลวเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิต ไม่มีคนที่สำเร็จคนไหน ไม่เคยล้มเหลว ถ้าเรากลัวความล้มเหลว ก็อย่าหวังจะสำเร็จสำหรับเรา สิ่งที่จะเอาไปปรับใช้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ มี 2 เรื่องหลักๆ1.ไม่ต้องไปให้ความสำคัญกับทุกคน ทุกเรื่อง หรือทุกๆอย่างรอบตัวในชีวิต ปล่อยๆมันไปบ้าง คล้ายกับชื่อหนังสือที่มีการแปลเป็นไทย ชื่อ “ชีวิตติดปีก ด้วยศิลปะะแห่งการช่างแ*ง” หลายอย่างที่เราเอาแต่คิดถึงมัน มันก็ไม่ได้สำคัญกับเราขนาดนั้น เราต้องรู้จักเลือก และจัดลำดับว่าอะไรสำคัญกับชีวิตเรา ทั้งเรื่องงาน เพื่อน ครอบครัว และทุกๆเรื่อง เพราะแค่เรื่องของสิ่งที่สำคัญมันก็มากพออยู่แล้ว ถ้าไปเอาเรื่อง หรือสิ่งที่ไม่สำคัญมาคิดอีก จะทำให้ชีวิตไม่มีความสุข ไม่มีทางที่ทุกอย่างรอบตัวสามารถถูกใจเราได้ทุกเรื่อง หัดปล่อยวางความคิดบ้าง แล้วชีวิตจะเบาลงเยอะ2. ปัญหาของความสัมพันธ์ในทุกรูปแบบมีอยู่ 2 สาเหตุหลักๆ - เราไปรับผิดชอบปัญหาของคนอื่นมากเกินไป ไปเอาปัญหาของคนอื่นมาเป็นปัญหาของตัวเองจนทำให้ตัวเองไม่มีความสุข หรือหลายๆครั้งก็ทำให้อีกฝ่านอึดอัด และยังเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายในทางอ้อม เหมือนลูกที่ถูกเลี้ยงมาแบบไม่ให้เจอปัญหาอะไรเลย เด็กที่โตมาก็ยากที่แก้ปัญหาด้วยตัวเองเป็น - เราคาดหวังให้คนอื่นมารับผิดชอบปัญหาของตัวเอง โดยที่เราไม่คิดจะทำอะไรด้วยตัวเอง คนแบบนี้จะชอบหนีปัญหา หรือโทษคนอื่นทุกครั้งที่เกิดปัญหาเราต้องเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างในชีวิตของตัวเอง เพราะเป็นเป็นเจ้าของชีวิต เรามีสิทธิ์ที่จะเลือก และไม่ว่าผลของสิ่งที่เราเลือกจะเป็นอย่างไรก็ตาม เราต้องเป็นคนรับผิดชอบด้วยตัวเอง ต้องยอมรับให้ได้ และเดินหน้าต่อไป ไม่เอาแต่โทษคนอื่น เพราะการตีโพยตีพาย โทษคนนู้นคนนี้ ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แต่เราแค่อ่อนแอ และไม่กล้ายอมรับความจริง และไม่หวังดีต่อใครมากจนเกินไป เพราะจะเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายทางอ้อม และทำทุกอย่างด้วยความพอดีคำคมที่ชอบProblems never fucking go away – they just improved.Don’t hope for a life without problems, there’s no such thing. Instead, hope for a life full of good problems.Don’t just sit there. Do something. The answers will follow.ใครอ่านแล้วมาแชร์กันได้ค่ะหนังสือเล่มเดียวกัน บางตอนอาจจะเข้าไปสะกิดอะไรในใจของเรา แต่อีกคนอาจจะได้ในอีกมุมเพราะเราต่างประสบการณ์ และเราต่างให้ความสำคัญกับเรื่องต่างๆ "ต่างกัน" Better Me "นี่แหละชีวิต"ขอขอบคุณที่มาภาพ: Cover: จากผู้เขียน/ Pic1: pixabay/ Pix2: pixabay/ Pic3: pixabayถ้าชอบ ฝากกดไลค์ กดแชร์ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ :)ช่องทางติดตาม Better Me "นี่แหละชีวิต"Blockdit : https://www.blockdit.com/bettermejourneysFacebook : https://www.facebook.com/bettermejourneys/