ในยุคที่รายการเรียลลิตีโชว์มีความหลากหลายและเกลื่อนหูเกลื่อนตากันแบบเลือกดูได้ตามใจ จนในที่สุดผู้เขียนได้นึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งภาพยนตร์ที่อยู่ในใจผู้เขียนมานานและเป็นภาพยนตร์ที่ผู้เขียนยกเป็นภาพยนตร์ขึ้นหิ้งเลยก็ว่าได้ อย่าง The Truman Show ชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมน โชว์ ภาพยนตร์ที่ค่อนข้างเก่าและเป็นภาพยนตร์น้ำดีที่น้อยคนนักจะพูดถึงมัน เป็นภาพยนตร์ในปี 1998 และเข้าฉายที่ประเทศไทยบ้านเราในปลายปีเดียวกัน นำแสดงโดย จิม แคร์รี, ลอร่า ลินนีย์, เอ็ด แฮร์ริส, นาตาชา แมคเอลฮอล กำกับการแสดงโดย ปีเตอร์ เวียร์ เมื่อผู้ถึงผู้กำกับอย่าง ปีเตอร์ เวียร์ และผลงานเด่นๆของเขาอย่าง Dead Poets Society ครูครับ เราจะสู้เพื่อฝัน 1989 , Master and Commander The Far Side of the World มาสเตอร์ แอนด์ คอมแมนเดอร์ ผู้บัญชาการล่าสุดขอบโลก 2003 , The Way Back แหกค่ายนรก หนีข้ามแผ่นดิน 2010 นับได้ว่าเป็นผู้กำกับมากฝีมือคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ นับว่าเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จมากๆในยุคนั้นเลยก็ว่าได้ จากทุนสร้างแค่ 60 ล้านเหรียญ นำมาสู่รายได้ทั่วโลกที่ 264 ล้านเหรียญ ความโด่งดังของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึงสามสาขาด้วยกัน ได้แก่สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชาย และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่พลาดทุกรางวัล แต่ก็ยังมีเรื่องให้ดีใจกันต่อสำหรับเวทีลูกโลกทองคำ (Golden Globes, USA) หนังชนะรางวัลถึง 3 สาขาด้วยกันทั้ง นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (จิม แคร์รี่) นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (เอ็ด แฮร์ริส) และดนตรีประกอบยอดเยี่ยม นับว่าเป็นภาพยนตร์ขึ้นหิ้งที่ควรค่าแก่การดูและหาคำตอบที่สอดแทรกอยู่ในในเรื่องนี้ ถึงแม้ผู้เขียนจะดูมันมานานมากแล้วก็ตามแต่การหยิบมันขึ้นมาดูใหม่ก็ยังคงทำให้เราซึ้งไปกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เช่นเคยเหมือนวันแรกที่เข้าไปชมในโรงภาพยนตร์เลยก็ว่าได้เล่าย่อๆเรื่องราวของ ทรูแมน เบอร์แบงค์ กับชีวิตที่แสนธรรมดาและการงานอาชีพที่แสนจะมั่นคง ตามชีวิตที่คนทั่วไปอยากมี บ้าน รถ คนรักที่แสนดีและอบอุ่น และแล้ววันหนึ่งเมื่อ ทรูแมน เบอร์แบงค์ กำลังจะเดินทางไปทำงานอยู่ๆ ไฟสปอตไลท์ก็หล่นลงมากลางถนน ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก แต่เหตุการณ์ก็ผ่านวันไปโยปกติและแล้ววันหนึ่งเขากลับรู้สึกว่าในโลกที่เขากำลังอาศัยอยู่นั้น มันก็เริ่มมีอะไรแปลกขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เขาต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า โลกที่เขาอยู่นั้นมันจริงหรือปลอมกันแน่ “ร่วมถอดสัญญะ วิเคราะห์ ไปด้วยกัน กล้องพร้อม นักแสดงพร้อม เทปเดิน…ซีน 1 คัท 1 เทค 1…แอ็กชัน”1 ซีน (Scene) คือ “ฉาก” ว่าด้วยเรื่องของฉาก / ฉากต่างๆของภาพยนตร์เรื่องนี้มันทำให้ผู้เขียนเหมือนหลุดเข้าไปอยู่กับตัวละครเหล่านั้นได้อย่างง่ายได้ แทบไม่น่าเชื่อว่า ภาพยนตร์ประเภทเรียลลิตีโชว์ ผสมกับดราม่าและตลก ออกฉายเมื่อกลางปี ค.ศ. 1998 ที่ทำรายได้มากกว่า Godzilla (ก็อตซิลล่า อสูรพันธุ์นิวเคลียร์ล้างโลก) ภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟฟอร์มใหญ่กับน่าสนใจมากกว่า ด้วยการเล่าเรื่องราวผ่านฉากต่างๆของตัวละครหลักอย่าง ทรูแมน เบอร์แบงค์ นี้แหล่ะที่เป็นตัวเร่งในภาพยนตร์น่าสนใจ เพราะเราเหล่าคนดูต้องค่อยเอาใจช่วยเขาในทุกๆฉากทุกการก้าวเดิน หรือแม้แต่ทุกท่วงท่าการกระทำ ภาพยนตร์ทำให้เราเชื่อกับฉากเหล่านั้นได้จริงๆ และการตัดต่อที่ทำให้เรารู้สึกอึดอัดร่วมไปกับตัวละครอย่างง่ายได้ “ฟังฉันนะ ทรูแมน ไม่มีความจริงในโลกข้างนอกนั่นที่เหนือไปจากความจริงในโลกนี้ที่ฉันสร้างมา การโกหกแบบเดียวกันการหลอกลวงแบบเดียวกัน แต่ในโลกของฉัน เธอไม่มีอะไรต้องกลัว” คริสทอฟพยายามจะโน้มน้าวทรูแมน เป็นบทพูดที่ผู้เขียนมองว่าทรงพลังมากๆ ในฉากไคลแมกซ์ของเรื่องนี้ เราจะได้เห็นกันชัดๆเลยว่า โลกที่ถูกสร้างขึ้นใบนี้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งลวงตา และฉากที่ผู้เขียนชอบมากๆอีกฉากคือตอนที่กำลังค้นหาตัว ทรูแมน เบอร์แบงค์ และฉากเปลี่ยนจากกลางคืนเป็นกลางวัน นั้นมันแสดงให้เห็นถึงคนที่มีอำนาจสูงสุดอย่าง คริสทอฟ ที่กำลังเล่นบทเป็นพระเจ้าที่คอยควบคุมทุกอย่างใน เกาะ Seaheaven ภาพยนตร์เรื่องนี้สอดแทรกความหมายเข้ามาในฉากอย่างตรงไปตรงมา และเข้าใจง่ายแต่ตัวภาพยนตร์ก็เสนอความสนุกได้แบบครบรสจนบางทีก็เผลอแอบเป็นตัวละละครในภาพยนตร์เรื่องนี้และคอยลุ่นไปกับเรื่องราวอย่างไม่เคอะเขิน2 คัท (Cut) คือ “มุม” ว่าด้วยเรื่องของบท / ในช่วงที่ผู้เขียนดูภาพยนตร์เรื่องนี้สมัยแรกๆที่เขาฉาย สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนสนใจมากที่สุดของเรื่องนี้คือ “คำถาม” ที่นักปรัชญาทั้งหลายในโลกนี้ต่างก็หาคำตอบกันมานานรวมถึงตัวผู้เขียนเองก็เช่นกันนั้นก็คือ “ความจริงของมนุษย์คืออะไร” และเมื่อได้หยิบภาพยนตร์เรื่องนี้กลับมาดูอีกรอบก็นึกถึงนักปรัชญาผู้หนึ่ง เขาคนนั้นคือ “เพลโต” และเรื่องราวของ “ถ้ำของเพลโต” เมื่อนักปรัชญาทั้งสามมาเจอกันมี “กลาวคอน” กับ “โสกราตีส” เรื่องราวของถ้ำและการรับรู้ถึงโลกภายนอกนับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จนผู้เขียนเอามาโยงกับเรื่องราวของบทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างไม่เคอะเขิน นับว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับภาพยนตร์ที่อยู่ในใจของหลายๆคน ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วบทภาพยนตร์เรื่องนี้ นับว่าเป็นอะไรใหม่และแปลกมากๆในยุคนั้นเลยก็ว่าได้ กับการทำให้คนๆหนึ่งต้องมาเจอกับเรื่องราวที่ถูกแต่งขึ้นตั้งแต่เขาเกิด เป็นบทภาพยนตร์ที่เข้าท่าเข้าทางมากๆอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเผยเรื่องราวที่ค่อยๆประติดประต่อ และแฝงความหมายในทุกขณะของทุกการกระทำของตัวละคร ที่ผู้เขียนยกประเด็นเรื่อง “ถ้ำของเพลโต” ขึ้นมาผู้เขียนว่ามีความคล้ายกันในเรื่องของบท ที่ตัวละครต่างต้องการค้นหาความจริงในโลกที่แสนจอมปลอม "แอนดรูว์ นิคโคล" เป็นคนที่เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ และสิ่งที่น่าสนใจคือโลกเราที่มีข้อมูลข่าวสารต่างๆมากมายไหลเวียนอยู่มากมาย ไม่ว่าข่าวจริง ข่าวปลอม ข่าวที่ถูกใส่สีตีไข่ หรือแม้แต่คอนเทนต์ต่างๆจากทั่วทุกมุมโลก ถือว่าเป็นบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่มาก่อนกาลและตรงไปตรงมามากที่สุดอีกเรื่องเลยก็ว่าได้ 3 เทค (Take) คือ “จำนวนครั้งที่เล่น”ว่าด้วยเรื่องของตัวละคร / ตัวละครที่มีความสำคัญที่สุดของเรื่องนี้อย่าง ทรูแมน เบอร์แบงค์ และ คริสทอฟ เป็นตัวละครที่น่าสนใจทั้งคู่เลยก็ว่าได้ คนหนึ่งต่างก็ต้องการค้นหาความจริงว่าโลกที่เขาอาศัยอยู่นั้นเป็นของจริงหรือของปลอม ส่วนอีกคนกลับสร้างโลกปลอมๆขึ้นมาแล้วชี้ให้เห็นว่านี้แหล่ะคือโลกที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา คนหนึ่งเป็นนักแสวงหาความจริง ส่วนอีกคนเป็นดั่งพระเจ้า ตอนแรกที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เขาฉายในไทยผู้เขียนมองว่าน่าจะเป็นภาพยนตร์ตลกของ จิม แคร์รี อีกแน่ๆแตะแล้วผู้เขียนกับคิดผิดเมื่อภาพยนตร์เริ่มฉายไปเรื่อยๆ กับพบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มันช่างเสียดสียังคมได้อย่างแสบสันและน่าสนใจ และการนำเสนอตัวละครที่น่าสนใจมากๆอีกเรื่อง เราจะได้เห็นว่าทั่งเรื่องนั้นตัวละครอย่าง ทรูแมน เบอร์แบงค์ พยายามอยู่เสมอที่จะพาตัวเขาทะเยอทะยานสู่โลกที่ไม่เคยพบเห็นแล้วก็ถูกผู้สร้างดักทางไว้ตลอดเช่น "There's Nothing Really Left To Explore." “ไม่มีอะไรเหลือให้สำรวจอีกแล้วในโลกใบนี้.” เป็นการชี้ชวนให้ผู้เขียนมีอานากนอกกว่าเห็นพ้องต้องกัน แต่เรื่องเล่านั้นก็สะสมในตัวละครนี้มาเรื่อยๆว่าถึงแม้จะมีคำพูดที่คอยกลอกหูเขาอยู่เรื่อยๆแต่ก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งความจริงที่เขาต้องคนหาเรื่อยๆ มันแสดงให้เห็นถึงการเติบโตและการเดินไปข้างหน้าอย่างเห็นได้ชัดของตัวละครและสอดแทรกความหมายได้อย่างมีชั้นเชิง จากตรงนี้ในหัวข้อที่ 2 ที่ผู้เขียนได้สอดแทรกเรื่องของ “ถ้ำของเพลโต” ที่เขาได้พูดกับ “กลาวคอน” กับ “โสกราตีส” เมื่อนั้นเพลโตก็ได้ตั้งคำถามใหม่ที่ว่า เมื่อมีใครสักคนออกจากถ้ำเขาจะรู้สึกเช่นไรจะเชื่อสิ่งที่เห็นภายนอกนี้หรือไม่ แล้วคำถามที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขากลับเข้ามาในถ้ำสิ่งที่เห็นในถ้ำกลับสิ่งที่เขาเห็นภายนอกนั้น เขาจะยังมองมันเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า และนั้นจึงเกิดคำถามต่ออีกว่า ถ้าหากมาบอกเพื่อนที่อยู่ด้วยกันในถ้ำเป็นเวลานานด้วยกัน เพื่อๆของเขาจะทำอย่างไร “กลาวคอน” กับ “โสกราตีส” ต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาต้องถูฏฆ่าแน่นอน เพราะคนส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะละทิ้งความปลอดภัยและความสะดวกสบายของพวกเขาที่รู้จักแค่ในถ้ำนี้ ผู้เขียนมองว่ามันไม่คุ่มค่าเขาจึงไม่เชื่อว่าความจริงเป็นเช่นไร นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าคนเราทุกวันนี้ไม่กล้าที่จะลองหาประสบการณ์ใหม่ๆเพื่อที่จะพบความจริงใหม่ๆ เหมือนที่ตัวละครอย่าง ทรูแมน เบอร์แบงค์ กำลังทำ ในด้านนี้ผู้เขียนเชื่อว่าเราเหล่าคนดูก็สนุกไปกับตัวละครและพร้อมเอาใจช่วยตัวละครนี้ได้อย่างไม่เคอะเขิน และการรับบทของ จิม แคร์รี ก็เป็นอะไรที่เข้าท่าเข้าทางมากๆในเรื่องนี้ และ เอ็ด แฮร์ริส กับการสื่อสารทางอารมณ์ของตัวละครออกมาได้อย่างน่าทึ่ง รับเป็นเป็นพระเจ้าใน เกาะ Seaheaven ได้อย่างทรงพลัง4 Slate คือ ป้ายที่เขียนบอก ซีน คัท เทคว่าด้วยเรื่องของความหมาย / "You Never Had A Camera In My Head." “คุณไม่ได้ติดตั้งกล้องไว้ในหัวผมนี่” เป็นประโยคที่ผู้เขียนชอบมากๆจากบทสนทนาของทั้งสองตัวละครอย่าง ทรูแมน เบอร์แบงค์ และ คริสทอฟ “เชื่อฉันเถอะทรูแมน โลกข้างนอกไม่ได้ต่างกับโลกสมมุติในรายการเรียลลิตีโชว์นี้หรอก มันต่างก็หลอกลวงพอกัน เพียงแต่ในโลกสมมุติที่ฉันสร้างขึ้นนี้ เธอไม่มีอะไรต้องกลัว เพราะฉันรู้จักเธอดีกว่าตัวเธอเองอีกยังไงล่ะ !” ทรูแมนจึงสวนกลับไปดังประโยคด้านบน นับว่าเป็นความสะใจและแอบอึ้งอยู่ไม่น้อยสำหรับผู้เขียนที่ได้ยินประโยคนี้ เพราะว่าตัวละครอย่าง ทรูแมน เบอร์แบงค์ เขากล้าที่จะพูดสิ่งที่เขาคิดออกมา เพราะแม้ว่าผู้สร้างอย่าง คริสทอฟ หรือแม้แต่ผู้ชมที่กำลังชมรายการเรียลลิตีโชว์อยู่ในขณะนั้นต่างก็ไม่ได้รู้ความคิดของ ทรูแมน เบอร์แบงค์ มากไปกว่าเขาเลยแม้แต่คนเดียว การหาความจริงและการหลุดออกจากกรอบของตัวละครในเรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างที่ผู้เขียนอธิบายแล้วในหัวข้อที่ 3 แต่หากมาเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตจริงๆแล้ว เรามักที่จะให้ใครบางคนอยู่ในกรอบจนมากเกินไปอยู่เสมอ โดยเฉพาะครอบครัวพ่อและแม่ที่มักจะสร้างกรอบขึ้นมาเพื่อปกป้องลูกของตัวเองอยู่เสมอ แต่แล้วตัวละครหลักอย่าง ทรูแมน เบอร์แบงค์ ที่ต้องการหาคำตอบความสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ก็ไม่มีอะไรหยุดเขาไว้ได้อีกแล้ว การที่คนๆหนึ่งจะก้าวเดินและออกตามหาสิ่งที่เขาต้องการนั้น เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากๆ แม้ว่า คริสทอฟ ผู้สร้างและผู้กำกับรายการเรียลลิตีโชว์นี้จะลั่งเข้าไว้แค่ไหนก็ตาม เขาก็ต้องการออกไปหาความจริงแม้จะถูกกรอกหูอยู่ซ้ำๆว่าโลกข้างนอกไม่ได้ต่างกับโลกสมมุติที่ คริสทอฟ สร้างขึ้นเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนมองว่าทีมสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้อย่าง แอนดรูว์ นิคโคล ที่รับหน้าที่เขียนบท และ ปีเตอร์ เวียร์ ที่เป็นผู้กำกับเองก็ตาม ได้มอบความหมายให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้หลายๆอย่าง การค้นหาความจริงที่ผู้เขียนได้พูดแล้วในหัวข้อด้านบน การไม่ยอมรับและไม่พอใจกับสิ่งที่ไม่เป็นความจริงและไม่เป็นตัวของตัวเอง อันนี้หากเป็นคนที่ไม่สนโลกหรือคนรอบข้างการกระทำที่สุดโต้งแบบที่ ทรูแมน เบอร์แบงค์ ได้ทำกับภรรยาของเขาก็เป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่การที่เขาเป็นคนที่อยากออกไปผจญภัยในคือสิ่งที่น่าสนใจ เพราะเขาไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งต่างๆที่ประเดประดังเข้ามา และอีกสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือเขายอมรับการตัดสินใจของตัวเอง กล้าที่จะก้าวผ่านสิ่งที่เขาไม่เคยทำไม่เคยเจอ อย่างเช่นกล้าที่จะตั้งคำถามกลับผู้ที่น่าจะมีอำนาจมากกว่าอย่าง คริสทอฟ หากชีวิตเรากำลังเดินไปข้างหน้า สังคมก็คอยกดดันและสกัดขาของเราอยู่เรื่อยๆ แต่ก็เหมือกับที่ ทรูแมน เบอร์แบงค์ ว่าไม่มีใครรู้จักเราดีเท่าเรา5 “คัท !!!!” "You Were Real. That's What Made You So Good To Watch." “คุณไงคือของจริง,นั่นแหละที่ทำให้ผู้ชมติดใจ” เป็นอีกประโยคหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เป็นคำผู้จาก คริสทอฟ หลงจากที่ ทรูแมน ตั้งคำถามว่าทั้งหมดนี้มันเป็นของปลอมใช่ไหม สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนสรุปได้ง่ายๆคือ แม้ว่าตัวตนของเราจะถูกจำกัดอยู่ในกรอบแค่ไหน และความรักอิสระชอบค้นหาและอยากท่าทายของมนุษย์นั้น มันก็มีมากกว่าและเราก็ทำตามใจจนหลุดออกจากกรอบเหล่านั้นไปได้อย่างไม่รู้ตัว คนเรามักอยากที่จะเห็นชีวิตที่สุดสุขแสนสบายนั้นจริงทำให้ชีวิตของ ทรูแมน เบอร์แบงค์ กลายเป็นชีวิตที่จริงที่สุดในรายการ เพราะเขาคือคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเลยกับโลกที่ถูกปั้นแต่งขึ้น ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะค่อนข้างเก่าจนหาดูได้อยากมากๆแล้วในปัจจุบัน ความฮิตของภาพยนตร์เรื่องนี้กลับกลายเป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกว่า Truman syndrome หรือ Truman disorder และภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากปี 1989 ของละครจอแก้วในตอนนั้นอย่าง The Twilight Zone ในยุค 1980 ที่มีเนื้อหาตอนคล้ายๆกันกับเรื่องนี้ ที่มีชื่อตอนว่า "Special Service" หรือแม้แต่นวนิยายแนววิทยาศาสตร์อย่าง Time Out of Joint (1959) ที่เขียนโดย Philip K. Dick ก็มีเนื้อหาคล้ายๆกันกับ The Truman Show ชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมน โชว์ อย่างไรก็ตาม กับ The Truman Show ก็เต็มไปด้วยฉากที่น่าค้นหา สร้างความอึดอัดเหมือนกล้องแอบถ่ายอยู่จริงๆให้กับผู้ชมได้อย่างน่าจดจำ หรือแม้แต่มอบความประทับใจในซาบซึ้งไปพร้อมๆกันได้อย่างไม่เคอะเขิน บทภาพยนตร์เต็มไปด้วยความน่าสนใจที่สอดแทรกความหมายเข้ามาได้อย่างไม่เคอะเขิน และบทสนทนาของตัวละครหลักที่เต็มไปด้วยความหมายได้อย่างไม่เคอะเขิน นับว่าเป็นบทภาพยนตร์ที่มาก่อนกาลเล็งเห็นความจอมปลอมของโลกได้อย่างถ่องแท้ และตีความออกมาได้อย่างแสบสัน ทีมนักแสดงก็ไม่ได้น้อยหน้าและตัวละครหลักอย่าง จิม แคร์รี ก็เล่นเอาแฟนภาพยนตร์ของนักแสดงคนนี้อย่างผู้เขียนต้องเสียน้ำตาเพราะมันไม่ใช่ภาพยนตร์แนวตลกอย่างที่เขาถนัด แต่เป็นภาพยนตร์ดราม่าที่แถมมาด้วยความตลกแค่นั้น ได้มอบความน่าสนใจให้กับตัวนักแสดงคนนี้มากขึ้นไปอีกหลากเท่าตัวถือได้ว่า จิม แคร์รี มีศักยภาพในวงการภาพยนตร์ไม่ได้น้อยหน้าคนอื่นเลยแม้แต่น้อย และสุดท้ายความหมายของภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยคุณค่าที่สอดแทรกเข้ามาผ่านบทสนทนาต่างๆของตัวละคร ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้งดงามที่สุดอีกเรื่องเลยก็ว่าได้ และภาพยนตร์ได้เสนอฉากจบที่น่าสนใจอีกอย่างเอาไว้และต้องบอกว่าเป็นอะไรที่แสนจะเจ็บปวด หลังจากที่ ทรูแมน เบอร์แบงค์ เขาได้รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ภาพยนตร์ก็ตัดจบที่ตัว ทรูแมน เบอร์แบงค์ เดินออกจากประตูการออกอากาศก็หยุดลงตรงนั้น ฉากนี้ยังไม่ความหมายเป็นนัยๆอีกว่า ไม่มีใครสนใจชีวิตของเราหลังจากที่เราหายลับตาเขาไปคนที่จะรู้จักตัวเราดีที่สุดคงจะเป็นตัวเราเอง หลังจากที่รายการได้หยุดลง หรือยุติการออกอากาศนั้นภาพยนตร์ก็ตัดฉากมาที่ผู้ชมทางบ้านสองคน แล้วก็มีบทสนทนาจากเขาทั้งสองว่า “งั้นก็เปลี่ยนไปดูอย่างอื่น” เป็นเรื่องที่น่าเศร้าว่าเขาดูเรามาตลอด 30 ปี แต่สุดท้ายเมื่อเราจากไปเขาก็ไม่ได้ใยดีหรือสนใจเรามากขนาดนั้นหรอก ดั้งที่ผู้เขียนสรุปได้ว่า “ไม่มีใครสนใจตัวเรา เท่ากับตัวของเราเอง” ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ The Truman Show : ชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมน โชว์ 1998 ยังได้รับเชิดชูเป็นโปสเตอร์อย่างเป็นทางการของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 75 ด้วยเช่นกันชอบประโยคนี้ Good Morning! and if i dont see you.. Good Afternoon, Good Evening and Good Nigh! - ทรูแมน เบอร์แบงค์(สิ่งหนึ่งที่คนดูอย่างผู้เขียนเห็นคือความตั้งใจของทีมผู้กำกับทีมนักแสดง คะแนนเต็มแบบไหนอย่างไรไม่ควรนำมาตัดสิน กับเรื่องของภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม "คะแนนของคุณไม่ใช่คะแนนของใคร ที่สำคัญกำลังใจย่อมดีกว่าการตัดสินด้วยคะแนน" ผู้เขียนจะย้ำอยู่เสมอ สิบปากว่าไม่เท่าตาคุณเห็น ต้องชมเองให้ได้เท่านั้น)#จิปาถะและอรรถรสขอบคุณภาพประกอบจาก The Truman Show / ภาพปก เว็บไซต์ภาพยนตร์เมืองคานส์ www.festival-cannes.com - 1 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7Paramount Home Entertainment - 2 Festival de Cannes - 8 ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก End Credits ท้ายเรื่อง และการเป็นแฟนเดนตายผู้กำกับภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักเขียนบทภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักแสดงทุกท่านทีมสร้างภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมทุกคนและบริษัทและค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมและในวันนี้ก่อนจากกันไปบอกเราหน่อยว่าผู้อ่านเป็นแฟนภาพยนตร์เรื่อง The Truman Show : ชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมน โชว์ ภาพยนตร์ที่จะพาเราเหล่าคนดูตระหนักรู้ได้ว่าโลกที่เราอยู่นั้น "จริง" หรือ "ปลอม" พร้อมให้เราค้นหาแง้คิดทบทวนชีวิตไปพร้อมๆกับความหมายที่แทรกในทุกนาทีของการเดินเรื่อง เพราะอะไร อย่าลืมกดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจ แล้วท่านจะไม่พลาดเหล่าคอนเทนต์ใหม่ๆที่ทาง จิปาถะ และ อรรถรส จัดมาให้แบบ Exclusive เจาะลึกถึงวงการบันเทิงที่มากกว่าใคร หากคุณรักภาพยนตร์ รักซีรีส์ อนิเมะ แอนิเมชัน และเกม ที่เดียวที่ จิปาถะ และ อรรถรส จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !