Time to hunt โลกที่นิยามว่า ดิสโทเปีย (Dystopian) หลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยิน หรืออาจจะเคยได้เห็นในภาพยนต์ชื่อดังหลาย ๆ เรื่องกันมาแล้วบ้าง โลกที่มีสภาพเสื่อมโทรมผู้คนอดยากมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากสวนทางกับเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้า การเมืองการปกครองที่ตกไปอยู่กับกลุ่มอิทธิผล ซึ่งในภาพยนตร์เกาหลีเรื่องได้นำความเป็น ดิสโทเปีย เข้ามาใส่ไว้ด้วย มุมองการตีความในความหมายใหม่ของ ดิสโทเปีย เรื่องนี้จะออกมาแบบใดไปติดตามกันได้เลย ภาพยนตร์เรื่อง Time to hunt ผลงานของ Netflix เรื่องราวของเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศเกาหลี โดยในยุคนั้นประเทศเกาหลีได้กลายเป็นที่ประเทศตกต่ำมีหนี้สิน ผู้คนในประเทศมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากไม่มีงานทำ ข้าวของเครื่องใช้มีราคาแพง ค่าเงินในประเทศกลับกลายไม่มีมูลค่าการแลกเงินที่ธนาคารเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ผู้คนในประเทศต้องเปลี่ยนมาใช้เงินดอลาร์แทนกันอย่างหลบซ่อน มันจึงเป็นสาเหตุในกลุ่มเด็กหนุ่มทั้งสี่คน กีฮุน จุนซอก จางโฮ ซังซู ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากความลำบากเหล่านี้ โดยต่างมีความฝันว่าจะออกไปใช้ชีวิตอยู่บนเกาะนอกเมืองหลบหนีความวุ่นวายทั้งหลาย พวกเขาตัดสินใจวางแผนปล้นตู้เซฟของบ่อนการพนันแห่งที่ซึ่ง ซังซู ได้ทำงานเป็นพนักงานที่นั้น พวกเขาทั้งสี่คนวางแผนเป็นอย่างดีจนการปล้นนั้นสำเร็จและได้เงินกลับมา แต่หารู้ไม่ว่าหายนะใหญ่กำลังจะมาเยือนพวกเขา ฮัน นักฆ่าฝีมือดี ผู้ที่ได้รับคำสั่งให้ออกตามล่าตัวเด็กหนุ่มทั้งสี่เพื่อนำสิ่งของที่พวกเขาปล้นไปกลับคืนมา การไล่ล่าอันแสนดุเดือด ท่ามกลางความเสื่อมโทรมของเมืองและจิตใจคน พวกเขาจะสามารถทำตามความฝันได้หรือไม่ ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถนำเสนอแง่มุมของคำว่า ดิสโทเปีย (Dystopian) ออกมาได้แตกต่างจากหนังอื่น ๆ ทั่วไป ปกติถ้าเรานึกถึงคำว่า ดิสโทเปีย เราจะนึกถึงโลกมืด ๆ ที่มีหุ่นยนต์ใช้ชีวิตรวมกับผู้คนหรือไม่ก็รถยนต์บินได้เทคโนโลยีล้ำยุคต่าง ๆ นานา แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เราเห็นแตกต่างออกไปว่า ดิสโทเปีย แท้จริงแล้วในยุคปัจจุบันที่เราอาศัยอยู่ มันอาจจะเรียกว่า ดิสโทเปีย แล้วก็ได้ เราจะไม่เห็นเทคโนโลยีเจ๋ง ๆ อะไรในเรื่องนี้เลย แต่ที่เราจะเห็นเลยคือความเสื่อมโทรมทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม ที่ย่ำแย่จนถึงขั้นเลวร้ายสุด ๆ ซึ่งในปัจุบันหลายคนก็กำลังกังวลกับเรื่อง ดังนั้นการสื่อสารเรื่องราวของความเลวร้ายของโลก ดิสโทเปีย ในภาพยนต์เรื่องนี้จึงดูสมจริงจนบ้างทีก็ทำให้เราเชื่อว่าในอนาคตมันจะเกิดขึ้นแบบนี้จริง ๆ หรือเปล่า ส่วนในด้านโครงสร้างการดำเนินเรื่อง ต้องบอกเลยว่าลุ้นกันจนวินาทีสุดท้ายเลยทีเดียว ฉากบู๊ซึ่งทำออกมาได้ดุเดือดดูสนุก มีความดราม่าแทรกเข้ามา เรื่องราวความสัมพันธ์ของเพื่อนที่ทำให้เนื้อเรื่องเพิ่มความเข้มข้นขึ้นไปอีก เป็นภาพยนตร์เกาหลีที่ทำออกมาได้ดีเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ใครที่เบื่อซีรี่ย์รัก ๆ ของเกาหลีอยากจะหาหนังแนวแอ๊คชั่นระทึกขวัญของเกาหลีมาดูบ้าง ผู้เขียนอยากจะแนะนำเรื่องนี้เลยรับรองจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน ติดตามรับชมได้ที่ Netflix ซึ่งสามารถรับชมผ่านกล่อง True ID TV ได้แล้ว ขอบคุณภาพจาก Netflix Official Trailer