วันหนึ่งเมื่อประมาณสองปีก่อน ผมบังเอิญได้เห็นข่าวการแสดงดนตรีของ Barry Gibb แห่งวง Bee Gees ในงานเทศกาลดนตรี Glastonbury ที่ประเทศอังกฤษ รู้สึกทึ่งกับพลังบนเวทีของเขาเป็นอย่างมาก ด้วยวัยที่มากถึงกว่า 70 ปีเข้าไปแล้ว แต่เสียงร้องของเขายังแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมสักเท่าไรเลยBarry Gibb เป็นสมาชิกคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ของ Bee Gees วงทรีโอพี่น้อง เจ้าพ่อดิสโก้ในตำนาน จากประเทศอังกฤษ ที่โด่งดังระเบิดไปทั่วโลกในยุค 70s จากเพลงประกอบหนังดราม่าอเมริกันเรื่อง “Saturday Night Fever” ที่มี John Travolta เมื่อครั้งยังหน้าใสและหุ่นอันผอมบาง แสดงเป็นพระเอกของเรื่องขอบคุณภาพ "Barry Gibb บนเวทีการแสดง ในปี 2014" จาก: Louise Palanker | Commons.wikimedia ภายใต้ CC BY-SA 2.0อันที่จริงวง Bee Gees นั้น เริ่มมีผลงานออกมาตั้งแต่กลางยุค 60s แล้ว มีสมาชิกด้วยกัน 3 คน คือ Barry Gibb ซึ่งเป็นพี่ชายคนโต และน้องที่เป็นคู่ฝาแฝดกันคือ Robin และ Maurice Gibb มีผลงานเพลงออกมานับสิบชุดแล้ว ก่อนที่จะประสบความสำเร็จอย่างจริงจังจากเพลงที่พวกเขาทั้งแต่งและร้องให้กับหนังเรื่อง “Saturday Night Fever” เพราะงานเพลงนี้ทำให้พวกเขากวาดรางวัลแกรมมี่มาครองได้ถึง 5 รางวัลในปีเดียวกันจุดสูงสุดของ Bee Gees อยู่ในช่วงที่ดนตรีแนวดิสโก้ เป็นดนตรีกระแสหลักของโลกดนตรี หลังจากนั้นทางวงก็ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวดนตรีไปตามยุคตามสมัย และก็ยังคงมีการออกผลงานเพลงมาตลอดจนถึงต้นยุคปี 2000เพลงที่จะมาชวนฟังกันในคราวนี้ชื่อ “Tragedy” เพลงดังอันดับหนึ่งบนชาร์ต Billboard Hot 100 ในปี 1979 เป็นเพลงที่ได้ทำการเชิญเพลง “I Will Survive” ของ Gloria Gaynor ซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายเป็นเพลงชาติของชาวสีม่วงลงจากอันดับหนึ่งได้สำเร็จในเวลานั้น ส่วนที่อังกฤษก็สามารถขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งได้เช่นกัน เรียกว่าครอบครองอันดับหนึ่งบนชาร์ตได้ทั้งสองฟากฝั่งแอตแลนติกเลยทีเดียวขอบคุณภาพ "Maurice, Barry และ Robin Gibb แห่งวง Bee Gees" จาก: Robert Sullivan | flickr [Public Domain]ดนตรีในเพลงนี้ มีความเป็นร็อคแอนด์โรลสูงทีเดียว ฟังดูเหมือน Bee Gees จะเติมฮาร์ดร็อคลงไปในดนตรีแนวดิสโก้ของพวกเขา อาจจะเพราะกระแสความนิยมหลักทางดนตรีที่เริ่มเปลี่ยนแปลงแนวทางในช่วงเวลานั้น แต่เพลงนี้ก็ยังคงความเป็นดิสโก้ในแบบของ Bee Gees ไว้ได้อย่างสมบูรณ์“Tragedy” เป็นเพลงดิสโก้ที่ครบเครื่องมาก ๆ การเรียบเรียงดนตรีในเพลงนี้ มีการผสมผสานเสียงจากเครื่องดนตรีสังเคราะห์อย่างซินธีไซเซอร์ เข้ากับเสียงของวงเครื่องเป่าได้อย่างกลมกลืน ทำให้ได้ทั้งความหวือหวาทันสมัย และความสนุกสนาน มีชีวิตชีวา รวมอยู่ด้วยกันในเพลงนี้ สำหรับกลุ่มนักดนตรีที่มาบันทึกเสียงเครื่องเป่าให้ในอัลบั้มนี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเขาคือ ทีมสุดยอดเครื่องเป่าของ Chicago วงดนตรีแนวแจ๊สร็อคชื่อดังที่ได้รับการยกย่องในวงการดนตรีอย่างมากในเรื่องฝีไม้ลายมือเสียงกีต้าร์นั้นก็มีบทบาทสำคัญอย่างมาก มันทำให้เพลงนี้มีความแข็งกร้าวขึ้นกว่างานเพลงอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ และฟังดูเหมาะสมกับอารมณ์เพลงที่ถ่ายทอดเนื้อหาในแนวเจ็บปวดจากความรักได้เป็นอย่างดีด้วยเสียงร้องประสานในโทนสูงของทั้งสามพี่น้อง ยังคงเป็นเอกลักษณ์สำคัญในเพลงของ Bee Gees จากประสบการณ์ส่วนตัว ก็ยังไม่เคยพบวงดังวงไหน ที่ร้องเพลงในสไตล์เดียวกันและทำได้อย่างที่พวกเขาทำ อาจเป็นสิ่งเดียวที่น่าจะไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากงานเพลงของพวกเขาจวบจนถึงวันสุดท้ายของการทำงานร่วมกันขอบคุณภาพ "Bee Gees | Hollywood Walk of Fame" จาก: TentinQuarantino | Commons.wikimedia.org ภายใต้ CC0 1.0เล่ากันว่า พวกเขาแต่งเพลงนี้ในบ่ายวันที่ไปร่วมแสดงในหนังเรื่อง Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band ของวง The Beatles และเป็นวันเดียวกับที่แต่งเพลงดังอันดับหนึ่งอีกเพลง คือเพลง “Too Much Heaven” ซึ่งทั้งสองเพลงนี้อยู่ในอัลบั้มเดียวกันที่ชื่อ “Spirits Having Flown” นั่นเอง นับว่าเป็นวันที่ดีของพวกเขาจริง ๆวิดีโอที่เลือกมาให้ชมนี้ เป็นบันทึกการแสดงสดของ Bee Gees ในปี 1997 ที่ Las Vegas เมื่อครั้งที่พวกเขายังอยู่พร้อมหน้ากันทั้ง 3 คนพี่น้อง เพราะต่อมาในปี 2003 Maurice Gibb ก็ได้เสียชีวิตลง และตามมาด้วยการเสียชีวิตของ Robin Gibb ในปี 2012 สิ้นสุดตำนานของวงดนตรีที่เสมือนสัญลักษณ์หนึ่งของดนตรีแนวดิสโก้ลงไปในที่สุดคลิกที่นี่เพื่อชมบันทึกการแสดงสดเพลงนี้บน Youtube เครดิตภาพหน้าปก: Artmo_Polska | Pixabay