ในอาทิตย์ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะได้ยินคำนี้กันมาบ้างแล้วและเกิดข้อสงสัยกันขึ้นมาว่า Travel Bubble คืออะไร? แล้วมันทำงานยังไง? ทำไมถึงแก้ปัญหาการเปิดประเทศในสถานการณ์โควิดที่กำลังระบาดรุนแรงอยู่ในหลายๆประเทศตอนนี้ได้ Travel Bubble คือ การเปิดประเทศกันเองเฉพาะในกลุ่มประเทศที่สามารถควบคุมการระบายของไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน ทั้งขาไปและขากลับ แต่ก็ต้องมีเงื่อนไขรับรองต่างๆก่อน เช่น ต้องมีใบรับรองผลการตรวจอย่างน้อย 48 ชั่วโมง หรือต้องทำเรื่องขออนุญาตต่อเจ้าหน้าที่ ตามแต่รัฐบาลแต่ละประเทศจะตกลงกัน ซึ่งการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้จะทำให้การผ่อนคลายการล็อคดาวน์ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่โดนต่อต้านจากประชาชนด้วย อีกทั้งยังทำให้ธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางสามารถฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะว่าหากเปิดประเทศทีเดียวแบบปกติเลย ก็จะเกิดปัญหาคล้ายๆหาดบางแสนที่พอเปิดหาดปั๊บคนก็แห่กันไปเที่ยวจนรถติดแล้วก็ต้องมาตามจัดการกันภายหลัง และถึงว่าการระบายจะรุนแรงอยู่ในหลายๆประเทศ แต่ก็ยังมีหลายประเทศเช่นกันที่จัดการกับสถานการณ์ระบาดได้เป็นอย่างดี เป็นช่องทางให้ธุรกิจสามารถฟื้นตัวได้ก่อนใครและในอนาคตสามารถนำไปสู่การขยายความร่วมมืออื่นๆได้ เช่น การส่งแรงงานไปทำงาน จัดแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยว ระหว่างประเทศคู่สัญญา เป็นต้น นี่แหละคือรางวัลของประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี ประเทศเหล่านี่เริ่มขยับไปข้างหน้า ในขณะที่อีกหลายๆประเทศ ประชาชนยังไม่แม้แต่จะออกจากบ้านได้ด้วยซ้ำ เรามาดูกันครับว่ามีประเทศไหนใช้การเดินทางรูปแบบนี้กันไปแล้วบ้าง เช่น สิงคโปร์-จีน ล่าสุดสิงคโปร์ได้เริ่มอนุญาตให้ชาวจีนเดินทางระหว่างประเทศแบบ Travel Bubble ได้แล้วเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา แต่จะต้องทำเรื่องขออนุญาตหรือได้รับจดหมายเชิญจากองค์กรธุรกิจ มีรายละเอียดการเดินทางชัดเจน ได้รับการตรวจโควิดมาแล้วอย่างน้อย 48 ชั่วโมงก่อนเดินทางและต้องตรวจซ้ำอีกครั้งเมื่อมาถึงสิงคโปร์, ประเทศในกลุ่มแสกนดิเนียเวียด้วยกันเองยกเว้นประเทศสวีเดน ที่ใช้การควบคุมการระบาดแบบ Herd Immunity คือให้ประชาชนสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเองโดยไม่มีการ lockdown ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากและยังควบคุมการระบาดไม่ได้, ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ โดยสองประเทศนี้ไปมาหาสู่กันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วเพราะฟรีวีซ่าและมีการจัดการกับการระบาดของไวรัสได้เป็นอย่างดีทั้งคู่จึงเป็นประเทศแรกๆที่นำโมเดลการเดินทางรูปแบบนี้มาใช้และกำลังจะขยายต่อไปอีกหลายประเทศเช่น แคนาดา จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ประเทศไทยเองก็มีข่าวแว่วๆมาว่ามีโอกาสเป็นหนึ่งในนั้นด้วย พอกล่าวถึงประเทศไทยเรามาดูกันบ้างดีกว่าว่าประประเทศเรามีแผนจะใช้การเดินทางรูปแบบนี้กับประเทศไหนบ้าง เพราะเท่าที่มีข่าวออกมารัฐบาลก็ดูจะสนใจอยู่เหมือนกันเพราะประเทศเรามีรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย จากข่าวที่ออกมาประเทศที่มีโอกาสเป็นไปได้สูงก็ได้แก่ ไทย-จีน, ไทย-เวียดนาม, จีน-พม่า-ไทย-ลาว, ไทย-เกาหลี, ไทย-ออสเตรเลีย และที่ดูจะเป็นไปได้ที่สุดคือ ไทย-ญี่ปุ่น แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาของรัฐบาลแต่ละประเทศด้วยเพราะตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาเท่านั้นและจะเห็นผลชัดเจนขึ้นประมาณเดือน สิงหาคม หรือ กันยายน กันเลยทีเดียว เพราะถ้าไม่พิจารณากันให้รอบคอบจนเกิดการระบาดรอบสองขึ้นมา ที่เราทำมาทั้งหมดเกือบสามเดือนก็จะสูญเปล่า ภาพหน้าปกจาก Airplane vector created by freepik - www.freepik.com">Freepick (ภาพ 1)(ภาพ 2)(ภาพ 3) | ภาพประกอบ 1 | ภาพประกอบ 2 | ภาพประกอบ 3