ในช่วงที่ COVID-19 กำลังระบาดไปทั่วโลก ภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดภาคหนึ่งในระบบเศรษฐกิจคงหนีไม่พ้นภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศไทยของเรา เรามีแหล่งท่องเที่ยวมากมายที่สวยงาม ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือผู้คนไม่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ ไม่ต้องนึกไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวไกล ๆ ก็ได้ เพราะแม้แต่ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารใกล้บ้านก็ไม่เว้น เราทุกคนต้องพยายามอยู่บ้านตามแนวทาง Social distancing ที่เชื่อกันว่าเป็นแนวทางที่จะช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคนี้ลงได้ หลายคนที่ไม่ได้ออกจากบ้านหลายวัน ทั้งที่เป็นสิ่งที่เคยทำกันจนเป็นกิจวัตร เริ่มมีอาการกระสับกระส่ายและเบื่อหน่ายกับการนอนอยู่บ้านดูเน็ตฟลิกไปวัน ๆ สภาพจิตใจได้รับผลกระทบกันมากขึ้นเป็นลำดับ ไม่ว่าจะเป็น introvert หรือ extrovert ที่ชอบออกจากบ้านก็อยากหาอะไรมาให้จิตใจกระชุ่มกระชวย เวลานี้จะเที่ยวคนเดียวก็ยังไม่ได้ เพราะการเดินทางต่าง ๆ ล้วนติดขัดไปเสียหมด แม้แต่ระบบขนส่งสาธารณะหลายพื้นที่ยังไม่ให้บริการ แต่ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดี เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้ Virtual tourism เริ่มเข้ามาเป็น "ทางเลือก" ในการสร้าง "ทางรอด" ของการท่องเที่ยวและใครหลาย ๆ คนที่อยากออกไปเห็นโลกภายนอกบ้าง โดยอาศัยนวัตกรรมสมัยใหม่ที่เจริญก้าวหน้ามากขึ้น และเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิต จุดนี้ได้ถูกใช้เป็นจุดขายในด้านการตลาด เพื่อโฆษณาแหล่งท่องเที่ยวในบริเวณต่าง ๆ เพื่อยั่วให้คนอยากไปดูด้วยตาตนเองในภายหลังเมื่อวิกฤตในครั้งนี้สิ้นสุดลง ช่วงนี้เราอาจได้เห็นการแชร์การท่องเที่ยวในโลกเสมือนจริงที่ Google Maps ได้เคยจัดทำไว้ให้สามารถท่องเที่ยวได้ในระบบ Google Street View ซึ่งความจริงทางกูเกิ้ลได้มีการจัดทำ Virtual tours ในสถานที่ที่ถูกจัดว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก จนกระทั่งเมื่อวิกฤตครั้งนี้เกิดขึ้น การท่องเที่ยวรูปแบบนี้จึงเริ่มได้รับความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นนครวัดนครธมในกัมพูชา พีระมิดแห่งกิซาที่อียิปต์ หมู่เกาะกาลาปากอสที่เอกวาดอร์ แกรนด์แคนย่อนที่สหรัฐอเมริกา เป็นต้น นอกจากการจัดทำให้มีการท่องเที่ยวในระบบของกูเกิ้ลแล้ว เหล่าสถานที่ปิดที่มีการเก็บค่าเข้าชมอย่างพิพิธภัณฑ์ สวนสนุก และสวนสัตว์หลายแห่ง ก็ได้มีการเปิดให้สามารถท่องเที่ยวในโลกเสมือนจริงได้เช่นเดียวกัน โดยการจัดให้ท่องเที่ยวก็มีความแตกต่างรูปแบบกันไป อย่างที่ The Louvre มีการจัดทัวร์ให้เหมือนเราได้ไปสถานที่จริง ๆ สามารถเดินและหันมองทิศทางต่าง ๆ รอบข้างได้อย่างอิสระ หรืออย่าง Detroit Institute of Arts ที่เปิดให้คนสามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้คล้ายกับกำลังเดินชมนิทรรศการอยู่ สวนสัตว์ระดับโลกหลายแห่งเปิดไลฟ์ให้ชมผ่านเฟซบุ๊คอย่าง Atlanta Zoo และ Georgia Aquarium ขณะที่ขวัญใจคนทุกวัยอย่างดิสนีย์เองก็ไม่น้อยหน้าเมื่อจัดให้มี Virtual tour ภายใน Walt Disney World เช่นเดียวกับ Legoland Florida Resort ของอีกค่ายหนึ่ง เท่านั้นยังไม่พอ เพราะแม้แต่องค์กรระดับ NASA ยังเปิดให้ท่องเที่ยวในโลกเสมือนจริงที่สถานีอวกาศเลย มาถึงจุดนี้จะเห็นได้ชัดว่าถ้าคนที่มี VR จะได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัส "ฟีลลิ่ง" มากกว่าคนที่ดูผ่านจอคอมพิวเตอร์หรือเลื่อนผ่านโทรศัพท์มือถือ เพราะสามารถที่จะได้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงของจริง ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะเป็นเมืองนอก เมืองไทย จะเป็นทะเล เป็นป่า หรือเป็นภูเขา ก็สามารถที่จะมีมุมมองที่คล้ายกับไปอยู่ในสถานที่จริงได้ หากการท่องเที่ยวในรูปแบบนี้ได้รับความนิยมขึ้นมาจริง ๆ เราก็อาจเห็นสิ่งนี้เป็น New normal จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อีกประการหนึ่งก็เป็นได้ ขอบคุณภาพประกอบจาก https://www.legoland.dk/en/accommodation/hotel-legoland/virtual-tour/ https://petitegalerie.louvre.fr/visite-virtuelle/saison5/ https://www.google.com/maps/about/behind-the-scenes/streetview/treks/gombe-tanzania/ Pixabay