ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อน ร้อนจนมีคนบอกว่า ประเทศไทยมี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูร้อนมาก และฤดูร้อนสุดๆ อันนี้ผมก็ค่อนข้างเห็นด้วยนะครับ เพราะมันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะฤดูไหน อากาศก็ร้อนเหลือเกิน เดี๋ยวนี้แอร์หรือเครื่องปรับอากาศจึงถูกนำมาใช้กันตามบ้านเรือนเป็นจำนวนมาก เมื่ออากาศเย็นสบาย คนเราก็จะมีความผ่อนคลายมากขึ้น สุขภาพจิตก็ย่อมดีกว่าการอยู่กับอากาศที่ร้อนอบอ้าวแน่นอน แล้วเราเคยสงสัยไหมครับว่า แอร์มันทำงานยังไง ทำไมอากาศมันถึงเย็นทั้งๆที่เราก็เห็นว่ามันแค่มีลมเป่าออกมาจากตัวแอร์ที่ติดอยู่บนผนัง แล้วพัดลมหล่ะ มันก็เป่าลมออกมาเหมือนกัน แต่ทำไมไม่เห็นจะเย็นเหมือนแอร์เลย? เรามาหาคำตอบกันดีกว่าครับcr.https://pixabay.com/images/id-2106343/ แอร์หรือเครื่องปรับอากาศมีหน้าที่หลัก ๆ คือ การทำให้อากาศในบริเวณนั้นหรือห้องนั้นมีอุณหภูมิลดลงตามที่เราต้องการ (แล้วแต่ประสิทธิภาพของแอร์ตัวนั้นว่าสามารถทำให้อุณหภูมิลดลงได้มากเท่าไร) โดยอุปกรณ์หลัก ๆของระบบเครื่องปรับอากาศจะมีดังนี้1.คอมเพรสเซอร์ หรือบางครั้งเราจะได้ยินช่างเรียกว่า คอมแอร์2.คอนเดนเซอร์ หรือบางครั้งเรียกว่า คอยล์ร้อน (ตู้ที่มีพัดลมเป่าลมร้อนออกมานั่นแหละ ที่บางครั้งเราชอบเอาผ้าไปตากกันเพื่อให้แห้งเร็ว ๆ นั่นเอง)3.เอกแพลนชั่นวาล์ว4.อีวาเพอเรเตอร์ หรือบางครั้งเรียกว่า คอยล์เย็น (อุปกรณ์ชิ้นนี้เราคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี ก็คือตัวที่ติดตั้งอยู่บนผนังในบ้านเรานั่นแหละครับ ตัวที่เราเรียกมันว่าแอร์นั่นเอง)5.น้ำยาแอร์ มีหลายชนิด เช่น R22, R32, R410A ซึ่งแต่ละชนิดก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไปcr. https://pixabay.com/images/id-4204637/ เมื่อเราทราบแล้วว่า ระบบแอร์มีอุปกรณ์อะไรบ้าง ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าครับว่ามันทำงานอย่างไร ในระบบแอร์นั้น จะมีน้ำยาแอร์ที่อยู่ในระบบตลอดเวลา ซึ่งน้ำยาแอร์จะมีการไหลผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ต่อเมื่อคอมเพรสเซอร์ทำงาน อ้าว!!! แล้วคอมเพรสเซอร์มันทำงานตอนไหนหล่ะ? คอมเพรสเซอร์จะทำงานเมื่ออุณหภูมิภายในห้องสูงเกินกว่าอุณหภูมิที่เราปรับไว้นั่นเอง เช่น เราปรับอุณหภูมิแอร์ไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิในห้องต่ำกว่าหรืออยู่ที่ 25 องศาเซลเซียสพอดี คอนเพรสเซอร์ก็จะยังไม่ทำงาน น้ำยาแอร์ในระบบก็จะไม่เกิดการไหล แต่เมื่อใดที่อุณหภูมิมากกว่า 25 องศาเซลเซียส คอมเพรสเซอร์ก็จะเริ่มทำงาน และดูดน้ำยาแอร์ที่มีลักษณะเป็นไอเข้ามา (ถ้าไม่รู้ว่าไอเป็นอย่างไร ให้เรานึกถึงหมอก) แล้วส่งออกไป (เหมือนปั๊มน้ำ) น้ำยาแอร์ก็จะไหลเข้าไปยังคอนเดนเซอร์หรือคอยล์ร้อนซึ่งมีลักษณะเป็นแผงคล้ายกับหม้อน้ำรถยนต์ แล้วจะมีพัดลมเป่าแผงนี้เพื่อให้น้ำยาแอร์มีอุณหภูมิลดลง (เป็นสาเหตุให้ลมที่เป่าออกมาจากตู้นี้มีความร้อนนั่นเอง) เมื่อน้ำยาแอร์เย็นลง มันจะเปลี่ยนตัวเองจากไอหรือหมอกกลายเป็นของเหลวหรือเป็นน้ำนั่นเอง (เรียกว่าการควบแน่น) จากนั้นน้ำยาแอร์ก็จะไหลเข้าไปในเอกแพลนชั่น วาล์ว และถูกฉีดออกมาเป็นฝอยละอองเล็กๆเข้าไปยังอีวาเพอเรเตอร์หรือคอยล์เย็น ซึ่งด้านในจะมีลักษณะเป็นแผงคล้ายๆกับคอนเดนเซอร์ และมีชุดพัดลม (เรียกว่าโบลเวอร์) คอยเป่าลมออกมาผ่านตัวแผง ซึ่งลมก่อนที่จะผ่านแผงจะมีอุณหภูมิที่สูงกว่าน้ำยาแอร์ เมื่อลมถูกเป่าผ่านแผงซึ่งมีน้ำยาแอร์อยู่ภายใน น้ำยาแอร์จะดูดเอาความร้อนจากลมเข้ามาทำให้อุณหภูมิของลมที่ถูกเป่าออกไปเย็นลง ส่วนน้ำยาแอร์จะมีความร้อนเพิ่มขึ้นจนเดือดกลายเป็นไอ (เหมือนการต้มน้ำ เพียงแต่น้ำยาแอร์สามารถเดือดได้ที่อุณหภูมิต่ำ) นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ภายในห้องมีอากาศเย็นลงได้นั่นเอง ส่วนน้ำยาแอร์ก็จะไหลกลับไปยังคอมเพรสเซอร์อีกครั้ง และจะไหลวนไปแบบนี้เรื่อย ๆ จนกว่าอุณหภูมิห้องจะได้ความเย็นตามต้องการ เมื่ออุณหภูมิห้องถึงจุดที่ต้องการแล้ว คอมเพรสเซอร์ก็จะหยุดการทำงานโดยอัตโนมัติcr.https://pixabay.com/images/id-1801952/ เป็นอย่างไรบ้างครับ หลายคนคงหายสงสัยกันแล้วใช่ไหมครับ อันนี้เป็นหลักการเบื้องต้นของระบบปรับอากาศเท่านั้นนะครับ ในความเป็นจริง จะมีการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมอื่น ๆ หรือระบบอัจฉริยะต่าง ๆ เข้าไปอีก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบทำงานได้ดีขึ้น และชาญฉลาดมากขึ้น แต่หน้าที่หลัก ๆ ก็ยังคงเป็นเรื่องของการทำให้อุณหภูมิภายในห้องเย็นลงตามที่เราต้องการ รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าแอร์ของเราไม่สามารถทำความเย็นได้ เราอาจคาดเดาไว้ก่อนเลยว่า น้ำยาแอร์ในระบบยังมีเหลืออยู่ไหม เพราะน้ำยาแอร์เป็นตัวที่ทำให้อุณหภูมิของอากาศภายในห้องเย็นลงนั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็อาจจะไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงก็ได้ ดังนั้น เรียกผู้เชี่ยวชาญมาทำการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาให้ดีกว่านะครับcr.https://pixabay.com/images/id-2591357/รูปภาพหน้าปกจาก https://pixabay.com/images/id-233953/