( cr. unsplash ) ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2019 ได้มีการระบาดของโรคไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ ชื่ออย่างเป็นทางการคือ COVID-19 จากไวรัสโคโรน่า ตระกูลเดียวกับที่ทำให้เกิดโรค MERS และ SARS คร่าชีวิตประชาชนไปจำนวนมากในอดีต ปัจจุบันโรค COVID-19 หลังจากแพร่กระจายไปหลาย ๆ ทั่วโลก ยอดผู้ติดเชื้อรวม 156,400 คน เสียชีวิตไปแล้ว 5,833 คน ( ข้อมูล ณ วันที่ 15 มีนาคม 2563 ) ส่วนมากในประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ แต่ในไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมาการแพร่กระจายในยุโรปสร้างความวิตกกังวลให้คนทุกมุมโลก โดยเฉพาะประเทศอิตาลี อังกฤษ สเปน และเยอรมัน จนหลาย ๆ ประเทศในยุโรปได้ต่างพากันประกาศภาวะฉุกเฉิน ( State of Emergency ) ซึ่งประเทศแรกที่ได้ทำการปิดประเทศ ( Lockdown) คือ ประเทศอิตาลีที่มียอดพุ่งสูงเกือบ 20,000 คน และเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อ COVID-19 ไปทั่วยุโรปในช่วงไม่กี่สัปดาห์ ในวันที่ 12 มีนาคม 2563 นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส (Tedros Adhanom Ghebreyesus) ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก หรือรู้จักกันในชื่อ WHO ได้ประกาศยกระดับเตือนภัยสูงสุดและประกาศให้โรค COVID-19 เป็นโรคระบาดใหญ่ทั่วโลก ( Global Pandemic ) จากโรคระบาดธรรมดา ( Epidemic ) ที่จำกัดในภูมิภาคเท่านั้น ( cr. pixabay ) ซึ่งการประกาศในครั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ขององค์การ WHO ได้กำหนดเกณฑ์ของโรคระบาดใหญ่ ( Pandemic ) ไว้ว่าเป็นโรคระบาดที่ขยายตัวกว้างไปทั่วโลก มีการแพร่จากคนสู่คนและทำให้เกิดการเสียชีวิตจำนวนมากขึ้น อัตราการเสียชีวิตสูงขึ้นเนื่องจากการแพร่กระจายไปในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่ง COVID-19 ก็ตรงตามหลักเกณฑ์ทุกประการ คาดว่าตัวเลขของผู้ติดเชื้อจะเพิ่มมากขึ้นอีกก่อให้เกิดผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากหลาย ๆ ประเทศเริ่มปิดประเทศ คนไม่เดินทางเนื่องจากความหวาดกลัว กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมถูกสั่งห้ามเพื่อจำกัดยอดผู้ติดเชื้อไม่ให้เพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิม ในหลาย ๆ ประเทศต้องเพิ่มมาตรการ และตระหนักถึงความร้ายแรงมากขึ้น มีแนวทางป้องกันและหยุดยั้งการแพร่ระบาด หลังจากการประกาศเป็น Pandemic อย่างเป็นทางการของ WHO และหากมีเรื่องฉุกเฉิน หรือ ต้องการความช่วยเหลือขั้นวิกฤติในประเทศที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้แล้ว องค์การอนามัยโลกสามารถยื่นมาเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที เพราะมันกลายเป็นเรื่องของ นานาชาติไปแล้ว ( cr. wikipedia ) หากพิจารณาในอดีตนั้น การระบาดใหญ่ของโรคระบาดนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างกรณีไข้หวัดสเปน ( The Spanish Flu )ที่เกิดขึ้นในปี 1918 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 สาเหตุมาจากเชื้อ H1N1 คล้ายคลึงกับเชื้อไข้หวัดนก ( H5N1 ) โดยความรุนแรงของเชื้อนั้นสามารถทำให้ภูมิคุ้มกันของมนุษย์ล้มเหลว เสียชีวิตในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ซึ่งจากการคาดคะเนมีคนเสียชีวิตถึง 50-100 ล้านคนทั่วโลก แม้ว่าชื่อจะเป็นไข้หวัดสเปนแต่ต้นกำเนิดนั้นกลับไม่ได้มาจากสเปนแต่อย่างใด คาดกันว่าต้นกำเนิดเกิดจากนายทหารในประเทศเบลเยี่ยมที่ล้มป่วยและกระจายเชื้อต่อ ๆ กัน แต่กลับรุนแรงมากในประเทศสเปน จึงได้ตั้งชื่อว่า ไข้หวัดสเปนนั่นเอง หลังจากนั้นก็มีกรณีอื่น ๆ อย่างเช่น โรคเอดส์ ( AIDS ) เกิดจากเชื้อ HIV ที่มาพาหะเป็นลิงชิมแปนซี สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ และการใช้เข็มฉีดยา สาเหตุที่กลายมาเป็นโรคระบาดใหญ่เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 60 ล้านคน เสียชีวิตมากกว่า 25 ล้านคนไปแล้ว ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนรักษาให้หายขาด แต่มีแค่ยาช่วยให้ต่อสู้กับโรคเอดส์ให้สามารถอยู่ได้นานมากขึ้น เนื่องจากโรคเอดส์จะทำลายระบบภูมิคุ้มกันให้อ่อนแอ และส่วนมากมักจะเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนนั่นเอง ( cr. pixabay ) ประเทศไทยแม้จะตื่นตัวกันมาได้สักระยะ มีมาตรการคุมเข้มทั้งทางบก และอากาศ รวมไปถึงยกเลิกไฟลท์บินจากประเทศสุ่มเสี่ยงเช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี กระทรวงสาธารณสุขออกเตือนให้ประชาชนไทยงดท่องเที่ยวไปยังประเทศสุ่มเสียงและติดตามข่าวคราวอย่างใกล้ชิด ปัจจุบันยอดติดเชื้อของประเทศไทยอยู่ที่ 82 คน เสียชีวิตแล้ว 1 คน ( ยอดณ วันที่ 15 มีนาคม 2563 ) แม้ว่ายอดจะยังไม่ได้พุ่งพรวดแบบในหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคอื่น ประเทศไทยก็มีการรับมือแบบตั้งรับ ไม่ได้มีการห้ามชนชาติใดชนชาตินึงเข้ามายังประเทศ ในส่วนของการปิดประเทศ ( Lockdown ) นั้นยังไม่ได้มีประกาศใด ๆ ออกมาจากรัฐบาล แต่ประชาชนก็ยังป้องกันตัวเอง มีการพยายามหาซื้อหน้ากากอนามัย และเจลล้างมือ จนทำให้เกิดการขาดตลาดในช่วงก่อนหน้านี้ ( cr. pixabay ) ประเทศไทยนั้นได้รับการแจ้งเตือนมาหลังจากจีนได้ประกาศเรื่องไวรัส COVID-19 จนมาถึง WHO ประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคระบาดใหญ่ ( Pandemic ) ก็ทำให้นานาชาติเพิ่มความระวังมากขึ้น คนไทยเริ่มออกไปยังที่สาธารณะน้อยลง รวมไปถึงยกเลิกการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว กระทบมากเห็นจะเป็นได้ชัด คือ ธุรกิจท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวน้อยลงจนบางตา โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ในหลายปีมานี้เป็นลูกค้าหลักของประเทศไทย และเมื่อนักท่องเที่ยวน้อยลงก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรม จนพากันปิดตัวลง บริษัททัวร์ ธุรกิจการบินต้องปรับลดพนักงาน หรือ หยุดทำงานไปก่อน กระทบทุกภาคส่วนเลย แม้แต่ประชาชนขายของตามห้างร้านก็ไม่มีลูกค้ามาเดิน ซื้อของเพียงพอ เนื่องจากความหวาดกลัวของประชาชน ( Panic ) การอยู่บ้านจึงเป็นทางที่ดีที่สุดในตอนนี้ เพราะประหยัดเงิน และลดการเสี่ยงติดเชื้อ หรือแพร่เชื้อต่อ ๆ ไปในวงกว้าง อย่างไรก็แล้วแต่ รัฐบาลควรมีมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ และประชากรที่จำเป็นต้องตกงานจากโรคระบาดใหญ่ COVID-19 ในครั้งนี้ เพราะหากเราไม่ช่วยกันให้รอดจากไวรัส COVID-19 ในครั้งนี้ด้วยกันอย่างสามัคคี เราก็อาจจะต้องเจ็บหนักทั้งภาคธุรกิจ และประชาชนทั่วไป ดังนั้นเรามาสู้ไปด้วยกันนะคะทุกคน! เราจะต้องรอดไปด้วยกัน ( cr. unsplash ) บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ COVID-19 : ❌ อัพเดท ❌ สถานการณ์ Covid-19 ล่าสุด <กักตัว 14 วัน> 😷 ปฎิบัติตัวอย่างไร เมื่อกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง COVID-19 วิธีรับมือกับเชื้อโควิด-19 อย่างถูกต้อง ❌ ป้องกันทั้งตัวเองและคนรอบข้าง เหตุการณ์โรคระบาดร้ายแรงในประวัติศาสตร์ 🌍 เรียนรู้คำศัพท์ ... ภาษาอังกฤษจากข่าวไวรัส COVID-19 😷 สถานการณ์ผีน้อยเกาหลี 🇰🇷 VS โคโรน่า ธนบัตรกับไวรัสโคโรน่า 💵 COVID-19 ประกันโคโรน่า 😷 คุ้มครองไว้อุ่นใจหายห่วง