"กฎหมาย" นอกจากมีตำราที่ต้องอ่านมากมายมหาศาล ยังมีข้อมูลทางกฎหมายแยกออกหลากหลาย หลักตัวบทกฎหมาย กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกฎหมายพิเศษ การศึกษากฎหมายในระดับปริญญาตรี ต้องเรียนรู้พื้นฐานตัวบทกฎหมายเหล่านี้ ถ้อยคำเนื้อความตามภาษาของกฎหมายเป็นภาษาเฉพาะ การตีความทางกฎหมายต้องศึกษา ใช่เราจะตีความเอาตามนึกคิดได้ ผู้ศึกษาทางกฎหมายมา ยังต้องติดตามและหาความรู้เพิ่มเติมตลอด การบ่มเพาะเรียนรู้ สั่งสมประสบการณ์ ดุจดังรอบวงของต้นไม้ที่เพิ่มมากขึ้น นั่นคือเจริญงอกงามสู่การเป็นไม้ใหญ่ ที่มีลำต้นใหญ่โตแข็งแรง ส่วนมนุษย์ไม่ใช่เป็นหุ่นฟาง “ตัวฉันเป็นเพียงหุ่นไล่กา มีหญ้ามีฟางเป็นร่างกาย ไม่มีสมองที่จะคิด..” มนุษย์ต้องเติบโตและเรียนรู้สิ่งต่างๆ นักกฎหมายต้องศึกษาพัฒนาความรู้ความคิด เข้าใจและตีความกฎหมายเรื่องต่าง ๆ ได้ถูกต้อง พัฒนาความรู้ให้ทันกับกฎหมายใหม่ ควบคู่ไปกับคุณธรรม จริยธรรม ที่สั่งสมในความคิด ยกตัวอย่างการใช้ถ้อยคำทางกฎหมายที่จะต้องทำความเข้าใจ เช่นคำว่า “เดินเผชิญสืบ” มาจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๓๐ “เมื่อคู่ความที่เกี่ยวข้องร้องขอหรือเมื่อศาลเห็นเป็นการสมควร ศาลอาจเดินเผชิญสืบพยานหลักฐาน หรือเมื่อมีเหตุจำเป็นไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาสืบที่ศาลนั้น และการสืบพยานหลักฐานโดยวิธีอื่นไม่สามารถกระทำได้...” อธิบายความหมาย “เดินเผชิญสืบ” ให้พอจะเข้าใจ ก็คือการสืบพยานเกี่ยวกับสภาพสถานที่ และต้องกระทำในสถานที่จริง ทางปฏิบัติก็จะต้องขอให้ผู้พิพากษาท่านออกไปสืบพยานนอกศาล แต่เน้นด้านการตรวจสอบสภาพสถานที่และคู่ความทั้งสองฝ่ายก็เป็นผู้ให้ข้อเท็จจริงประกอบ ที่เป็นเช่นนี้เพราะบางครั้งการดูจากภาพถ่ายไม่ชัดเจนพอ เลยต้องร้องขอให้ผู้พิพากษาท่านออกเดินเผชิญสืบ หรือไปยังสถานที่จริงกัน นี่ก็เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ยังมีถ้อยคำถ้อยความอีกมากมายที่ต้องตีความและทำความเข้าใจ กฎหมายใช้กับเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นถ้าเรามีบ้านให้เช่า ก่อนตกลงหรือทำสัญญาเช่าระหว่างผู้เช่ากับผู้ให้เช่า เราต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น การตกลงเช่ากันรวดเดียวเกิน 30 ปี ไม่ได้ ต้องแบ่งเป็นครั้งต่อไป ไม่ใช่ตกลงเช่ารวดเดียวครั้งเดียว อย่างมากที่สุดที่ตกลงเช่ากันได้ต้องไม่เกิน 30 ปี แม้จะทำความตกลงกันแล้วก็ตาม กฎหมายก็จะหั่นเวลาลงมาแค่ 30 ปี เมื่อต่อสัญญากันใหม่ ทำได้อีก แต่ต้องไม่เกิน 30 ปี นับแต่วันที่ต่อสัญญา และถ้าการเช่าตกลงกำหนดเวลาให้เช่าไว้มากกว่า 3 ปี ขึ้นไป ต้องทำเป็นหนังสือและไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วยนะ ไม่อย่างนั้นแล้วหากมีปัญหาเกิดขึ้น จะไม่สามารถไปฟ้องร้องกันได้ การเช่าที่กำหนดตลอดอายุของผู้ให้เช่า หรือผู้เช่าก็ทำได้ โดยต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดิน สำนักงานที่ดินที่บ้านเช่านั้นตั้งอยู่ ทั้งนี้ตามกฎหมายให้การเช่าสิ้นสุดลงเมื่อผู้ให้เช่า หรือผู้เช่าถึงแก่ความตายแล้วแต่กรณี กรณีที่ต้องไปจดทะเบียนคือไปที่ไหน ก็ให้ไปจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดิน สำนักงานที่ดินที่บ้านเช่านั้นตั้งอยู่ “การเช่าที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาการเช่า” โดยคู่สัญญาไม่ได้ตกลงกันไว้แต่แรกตอนทำสัญญาเช่า เป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา สิ้นสุดได้โดยคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบก่อนจะถึงกำหนดชำระค่าเช่าในงวดถัดไป “การเช่าที่ทำสัญญากันไว้ตอนแรกและมีกำหนดระยะเวลาการเช่าอย่างชัดแจ้ง” แต่เมื่อถึงกำหนดแล้ว ผู้เช่ากลับไม่ยอมออกจากที่เช่า ยังคงครอบครองที่เช่านั้นต่อมาโดยที่ผู้ให้เช่าก็มิได้คัดค้าน ถือว่าเป็นการให้เช่าต่อโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา หากคู่สัญญาประสงค์จะเลิกการเช่า ก็ต้องแจ้งบอกเลิกสัญญาเช่าให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบก่อนถึงกำหนดชำระค่าเช่าในงวดถัดไป เช่นเดียวกับ “การเช่าที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาการเช่า” ที่จริงแล้วข้อกฎหมายเรื่องบ้านเช่ายังมีอีก ทั้งยังมีกฎหมายควบคุมเฉพาะในธุรกิจบ้านให้เช่ามากกว่า 5 หลัง หากจะให้เช่าบ้านก็ควรมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย จะช่วยเกิดความถูกต้อง ถูกกฎหมาย และเป็นธรรม กฎหมาย เป็นดังยาสามัญประจำบ้าน เวลาที่เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องมียารักษา เช่นเดียวกันถ้ารู้กฎหมายไว้ จะทำการสิ่งใดก็จะทำได้ถูกต้อง และไม่เกิดปัญหาข้อผิดพลาด โดนเอารัดเอาเปรียบหรือเสียค่าโง่ให้กับคนที่จ้องเอาเปรียบ เพียงเพราะเราไม่ระวัง รู้ไม่เท่าทัน ดังนั้น แม้กฎหมายดูจะเป็นเรื่องยาก ก็ยังมีที่ปรึกษากฎหมายที่จะช่วยคนที่ไม่รู้ข้อกฎหมายได้..สินะ จะบอกความ.ขอบคุณรูปประกอบภาพปกจากเว็บ pixabay และเว็บ pexels และเว็บ freepik/ ภาพประกอบที่ 1 โดยผู้เขียน / ภาพประกอบที่ 2 ขอบคุณ pixabay / ภาพประกอบที่ 3 ขอบคุณ freepik / ภาพประกอบที่ 4 ขอบคุณเว็บไซด์ ราชกิจจานุเบกษา