กฏแห่งความสัมพันธ์ คือกฏที่ว่าด้วยความคาดหวังว่าทั้งโลกจะมองเรายังไง จะปฏิกิริยาต่อเรายังไง และเราคาดหวังกับโลกไว้อย่างไร เรามักจะเกิดปฏิกิริยาในทางลบทันทีที่กฏเกณฑ์ที่เราถูกวางไว้ถูกละเมิดหรือคุกคาม ปฏิกิริยาที่ตอบสนองก็มีตั้งแต่หงุดหงิดกระวายกระวาย โกรธ บ่น คร่ำครวญ ขุ่นเคือง เมื่อกฏเกณฑ์ที่เราตั้งไว้นี้ถูกละเมิด เราจะพยายามกอบกู้กฏเกณฑ์นั้นกลับมาใช้อีกครั้ง และมักออกในลักษณะที่เคร่งครัดและบังคับใช้อย่างเข้มงวดกว่าเดิม อีกทั้งมักใช้วิธี “ลงแส้” หรือ “จิก” ผู้ที่เรามองว่า “ละเมิดกฏ” อันเท่ากับเป็นการไปละเมิดกฏส่วนตัวของผู้นั้นด้วยเช่นกัน เมื่อเกิดความขัดแย้งเช่นนี้ การทะเลาะเบาะแว้งก็ย่อมจะตามมา อันที่จริง เมื่อเราเข้าไปข้องเกี่ยวสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลในครอบครัว คู่ชีวิต เพื่อน เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือใครก็ตามก็ต้องมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอยู่แล้วในระดับหนึ่ง ความสำคัญจึงอยู่ที่ว่าเราจะจัดการกับความขัดแย้งนั้นอย่างไร สาเหตุของการทะเลาะเบาะแว้งมักมาจากการที่เขาทำในสิ่งที่เราไม่ได้คาดหวัง หรือไม่ทำในสิ่งที่เราคาดหวัง สรุปง่าย ๆ คือ เขาเหล่านั้นละเมิดกฏเกณฑ์ที่เราวางไว้นั่นเอง “เบื้องหลังการทะเลาะเบาะแว้งทั้งมวล ล้วนมาจากเรื่องควรกับไม่ควรทั้งสิ้น” ความขัดแย้ง คือสัญญาณที่เตือนว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแล้วหรือมีบางคนกำลังไม่มีความสุข การเลี่ยวความขัดแย้งหรือละเลยปัญหาอาจจะเป็นเพราะเราชอบที่จะเลี่ยงการพูดคุยเรื่องสำคัญ ๆ กันให้ชัดเจนหรือเลี่ยงที่จะศึกษาหาเหตุผลของความขัดแย้งที่ซ่อนอยู่ อันที่จริงความขัดแย้งอาจจะเป็นเรื่องดีและนำไปสู่การปรับปรุงได้ หากเราจัดการกับความขัดแย้งนั้นอย่างถูกวิธี แต่ในทางตรงกันข้าม มันก็อาจจะขุดหลุมให้เราถลำลึกลงไปในความยึดมั่นถือมั่นว่า ตนเองถูกต้องเสมอและนำไปสู่ความเสียหายด้วยกันทั้งสองฝ่าย บ่อยครั้งที่การทะเลาะเบาะแว้งมีรากฐานมาจากกรแยกแยะตามแพตเทิร์นหรือรูปแบบของจิต ซึ่งแทบจะไม่ได้เกี่ยวกับกรณีจริง ๆ ที่กำลังขัดแย้งกันอยู่เลยเราจะพูดรายละเอียดกันต่อนะคะ ทางออกของกฏเกณฑ์ส่วนบุคคลที่ขัดแย้งกัน รู้เท่าทันว่าตนเองกำลังอยู่ในอารมณ์ใดซะก่อน หากคุณกำลังฉุนเฉียวโมโหโกรธาคุณก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีที่สุดของการแก้ปัญหา คุณควรจะให้เวลานอกกับตัวเองสักครู่ ออกไปเดินเล่นหรือจะเลือกงานบ้าน ล้างจาน ฯลฯ เพื่อให้อารมณ์ร้อนลุ่มในใจมันคลายลงไปพร้อม ๆ กับกิจกรรมเหล่านั้น แทนที่จะไปลงใส่คนที่คุณรัก อย่าลืมว่าเราเลือกได้ว่าจะรู้สึกอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้น และต้องเลือกให้ถูกทางแม้ว่าการกระทำของคู่ชีวิตเราอาจจะเป็นเหตุให้เกิดปัญหานั้นขึ้นมาก็ตาม ดูตาม้าเรือก่อนจะผลีผลามกระโจนลงไป รู้เท่าทันอารมณ์ของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย โดยปกติคงไม่มีใครที่จะเที่ยวคิดร้ายกับผู้อื่น แต่เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่จะถูกหุ้มห่อไว้ในโลกส่วนตัวของตนเอง จนลืมไปว่าเขาก็อยู่ในโลกของเราด้วยเหมือนกันว่าไปแล้ว บางครั้งเขาก็อาจมีเหตุผลอันควร ถามตัวเองว่าเราจำเป็นต้องจัดการกับปัญหานี้ทันทีหรือเปล่า เรื่องส่วนใหญ่รอได้จนกว่าว่าคุณจะมีอารมณ์ที่ดีกว่านี้ และมักเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า หากเราเฝ้านึกถึงแต่ปัญหา ปัญหาก็คล้ายจะถูกแว่นขยายให้ใหญ่ขึ้น แล้วเราก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงขึ้นตามไปด้วย น่าจะดีกว่าหากเราย้ายจิตไปโฟกัสที่อื่นสักระยะจนกว่าจะรับมือกับปัญหาได้ดีขึ้น นึกถึงภาพที่ใหญ่กว่าเข้าไว้ เรามักจะไม่โต้เถียงกับคนที่เราไม่ใส่ใจ เพราะฉะนั้นหยุดคิดสักครู่ก่อนว่า เรื่องที่กำลังถกเถียงกันอยู่นั้น มันคุ้มค่ากับความขัดแย้งหรือเปล่า หากคนที่คุณกำลังจะโต้เถียงด้วยมีความสำคัญกับคุณ... แล้วมันสำคัญแค่ไหนที่ฝ่าหลอดยาสีฟันจะต้องปิด... โลกจะถล่มทลายไหมหากห้องของเขายังคงรุกรัง... การที่เขากลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัยน่าจะสำคัญกว่าการที่เขากลับมาดึกกว่าที่บอกไว้ใช่ไหม... หากคุณมองย้อนกลับไปในวันคืนที่ผ่านมา คุณจะเห็นได้ว่าหลายต่อหลายเรื่องที่คุณโต้เถียงกัน ล้วนแต่ไร้สาระจนน่าหัวเราะ แยกปัญหาออกจากบุคคล การถกเถียงมักก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ เพราะฉะนั้นหากคุณจำเป็นต้องวิพากษ์วิจารณ์ก็พึงวิพากษ์วิจารณ์ที่พฤติกรรมไม่ใช่ที่ตัวบุคคล “เธอนี่มันคนใจถึงจริง ๆ” มีสุ้มเสียงที่แตกต่างไปจาก “สิ่งที่เธอทำลงไปนั่นเป็นความใจถึงจริง ๆ” หรือ “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความใจถึงจึงจะสำเร็จ” คนเรามักจะถูกครอบงำได้ง่าย ๆ หากกำลังน้อยใจ เพราะฉะนั้นพึงเลือกตำหนิด้วยความระมัดระวัง หากคุณจะห้ามปรามลูกสาวไม่ให้ทำสิ่งที่กล้าเกิน แต่ไปเตือนลูกว่า “ลูกใจถึงเกินไป” ลูกก็อาจจะจำไว้ในใจว่า ตนเป็นคนใจถึง ซึ่งคงไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการจะบอก อย่าให้เรื่องบานปลาย ชีวิตคู่ของคุณจะยังปลอดภัยตราบเท่าที่คุณรักษาขอบเขตของการถกเถียงให้อยู่แต่เฉพาะเรื่องตรงหน้า เช่น ถ้าจะโวยวายที่ภรรยาอาบน้ำนานเกินไป ก็ไม่ควรจะโยงไปขุดคุ้ยเอาเรื่องผิดพลาดของเธอในอดีตขึ้นมาด้วยจนเรื่องราวบานปลาย ยอมรับสภาพของผู้อื่นด้วย คนเราก็ต้องการให้มีผู้รับฟังและรับรู้ความอึดอัดของคนกันทั้งนั้น คุณอาจจะพูดในทำนอง “เข้าใจแล้วล่ะ” “เข้าใจเหตุผลของคุณแล้ว”... “หากฉันเป็นคุณ ฉันก็คงจะรำคาญเหมือนกัน” คำพูดทำนองนี้บ่งบอกว่าคุณก็ให้ความสำคัญกับความเห็นของผู้อื่นเช่นกัน ซึ่งก็ช่วยให้คุณพบทางออกของปัญหาที่เกิดจากความแตกต่าง เพราะตอนนี้ทั้งคู่เริ่มคุยกันบนจุดยืนที่คล้ายคลึงกันแล้วนั่นเอง ความจริงมีได้มากกว่าหนึ่ง คุณจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ธรรมชาติสร้างเรามาให้เชื่อว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกแทบทุกครั้งปัญหาอยู่ที่ว่า เรามักจะคาดหวังให้ผู้อื่นเห็นพ้องกับโลกทัศน์แคบ ๆ ของเราด้วย สงครามทุกหนแห่งก็เกิดจากสาเหตุนี้คิดแบบง่าย ๆ คือ คุณมักจะนึกว่าคุณเป็นฝ่ายถูก แล้วก็คาดหวังว่าหุ้นส่วนชีวิตของคุณในทุกเรื่อง คุณก็คงต้องคบหาได้แต่กับกระจกเงาเท่านั้น เพราะมันจะเห็นด้วยกับคุณทุกอย่าง... แต่โลกของคุณคงจะเหงาน่าดู ต้องพร้อมที่จะหลบเลี่ยงบ้างในบางเวลา ใช่ว่าเรื่องทุกเรื่องจะลงเอยด้วยการตกลงกันได้เสมอไป บางครั้งก็อาจลงเอยโดยไม่มีทางออกที่ทุกฝ่ายสบายใจหรือไม่สบายใจอย่างเท่าเทียม! ให้สังเกตว่าคู่ที่มีสัมพันธภาพยืนยาวต่างรู้แจ้งในความจริง ข้อนี้ดี และพร้อมจะยอมรับในความแตกต่างของกันละกันยิ่งกว่านั้น ใช่ว่าเราควรจะแตะต้องไปเสียทุกปัญหา เช่น หากคู่ชีวิตของคุณเคยนอกใจคุณ หลังจากที่คุณใคร่ครวญจนรู้ถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นตลอดจนแรงจูงใจที่ทำให้มันจบลงไปแล้ว และกลับใจมาพูดคุยตกลงพร้อมจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งสิ่งที่ควรทำก็คือ ขีดเขียนลงไปบนพื้นทรายให้น้ำทะเลชะล้างมันไป แล้วก้าวเดินต่อไปด้วยกัน อย่าได้ฟื้นฝอยหยิบยกรายละเอียดขึ้นมาพูดคุยอีกเป็นอันขาด เพราะมันได้แต่จุดชนวนความรู้สึกร้าย ๆ ขึ้นมา ทั้งความหึงหวงริษยาขุ่นเคืองน้อยใจอันจะนำไปสู่ความแตกร้าวทั้งสิ้น ให้อภัยไม่ได้แปลว่าลืมได้ พึงพร้อมจะให้อภัยได้เสมอ เพราะไม่มีใครที่ทำถูกต้องได้ตลอดเวลา คุณเองก็เคยผิดพลาด เราต่างก็เป็นมนุษย์ เรามีสิทธิทำผิดด้วยกันทุกคนและควรจะได้รับโอกาสแก้ตัวใหม่ได้เสมอ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราพร้อมจะให้อภัย ก็ใช่ว่าเราควรจะลืมความผิดพลาดนั้น ตัวอย่างเช่น หากเจ้านายของคุณถือโอกาสที่คุณเป็นคนใจกว้างและสั่งงานให้คุณทำเกินขอบเขตที่คุณควรจะแบกไหวคุณอาจจะให้อภัยเขาที่ไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจ แต่ก็ควรจะแจกแจงให้เขารับรู้ถึงความลำบากที่คุณได้รับ ไม่อย่างนั้น เขาก็อาจจะทำแบบนี้ซ้ำ ๆ อีก สะสางกรณีที่มีปัญหาให้จบ คนส่วนใหญ่มักเลี่ยงความขัดแย้งเพราะไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นหรืออารมณ์เสียกับตัวเองกรณีแบบนี้มักพบได้ในวงการธุรกิจอยู่ตลอดเวลา เรายอมรับการบริกการที่ด้อยคุณภาพลงอย่างว่าง่าย โดยไม่โต้แย้งหรือต่อว่า อันที่จริงหากเราสะสงกรณีของเราให้เรียบร้อยความรู้สึกด้านบวกก็จะเกิดขึ้น พอ ๆ กับรู้สึกถึงความสำเร็จผ่อนคลายหลับสบาย ความสัมพันธ์ของเราจะเข้มแข็งขึ้นและมีความสุขมากขึ้น ขอบคุณภาพปกจาก unsplash.comขอบคุณภาพประกอบเนื้อหา ภาพที่ 1 , ภาพที่ 2 , ภาพที่ 3