กระบี่ มีนาคม 2564 ชมความงามเกาะพีพี วิวดี๊ดีที่ ปิเละ ลากูน พร้อมเที่ยว 4 เกาะเพลินๆ กระบี่ เกาะพีพี ชื่อที่คุ้นหูมาตั้งแต่เด็ก รู้ว่ามันคือทะเลที่สวยงามมากกก เพราะเห็นจากในทีวี นิตยสาร โปสเตอร์ต่างๆ อยู่บ่อยๆ เกาะพีพี ไข่มุกเม็ดงามอีกแห่งที่ไม่ควรพลาด "ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวทะเลอันดาคือ เดือนพฤศจิกายน - มีนาคม" โป๊ะเชะเลย!!! ออกเดินทางแต่เช้า ด้วยสายการบิน Thai Viet Jet สายการบินนี้มีฐานอยู่ที่สุวรรณภูมิ ไฟล์ทนี้มีเพื่อนเดินทางเต็มลำเลย ท้องฟ้าสดใส อากาศปลอดโปร่ง ความสุขเริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่เริ่มเดินทาง วันแรก ขับรถเที่ยวเมืองกระบี่ รูปแรกที่กระบี่ เป็นวิวทะเลหน้าร้านอาหาร ที่กะว่าจะไปกินมื้อเช้า แต่ดูเหมือนร้านจะยังไม่เปิด เลยได้แค่รูปวิวหน้าร้านมาเป็นออเดิร์ฟ ขับรถต่อ ไปดูฟอสซิลหอย ที่ "สุสานหอย 75 ล้านปี" ที่มีหอยทับถมกันเป็นแผ่นก้อนหินใหญ่ ลักษณะคล้ายแผ่นคอนกรีต แต่เราอดเจอหอยเพราะน้ำขึ้น เจ้าหน้าที่เลยไม่ให้เข้าไป ต้องมาตอนน้ำลดประมาณบ่าย 3 โมง ถึงบ่าย 4 โมง เลยได้แค่ถ่ายป้ายชื่อ และแชะภาพจากมุมสูงเป็นที่ระลึกเท่านั้น สิ่งที่เราเพิ่งรู้คือ...ฟอสซิลหอยของที่นี่เป็นหอยน้ำจืดไม่ใช่หอยน้ำเค็ม ส่วนอายุของสุสานหอยที่ได้มีการยืนยันด้วยหลักฐานทางธรณีวิทยามีอายุประมาณ 40-20 ล้านปี ไม่ใช่ 75 ล้านปี เหมือนชื่อ แต่ไม่ว่าจะ 20 40 หรือ 75 ล้านปี มันก็นานมากเหมือนกันแหละเนอะ หลังจากแวะกินข้าวเสร็จ ก็ลุยต่อที่ คลองหรูด (คลองน้ำใส) น่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวค่อนข้างใหม่ของกระบี่ เพราะเราเพิ่งเคยได้ยิน (หรือมันอาจจะใหม่แค่สำหรับเรานะ) คลองนี้จะมีเรือคายัคให้เราพายไปดูน้ำผุด ซึ่งเรือคายัคก็มีให้บริการอยู่หลายเจ้า คลองหรูดสามารถลงเล่นน้ำได้ และมีมุมสวยๆให้ถ่ายรูป ตรียมชุดให้พร้อมก่อนลงเรือ ที่ต้องพร้อมกว่านั้นคือ ครีมกันแดด SPF 50+++ หรือมากกว่านั้น เสริมด้วยหมวก แว่นกันแดด อุปกรณ์กันแดดต่างๆ จัดมาครบเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะแดดร้อนแรงมาก ค่าเช่าเรือคายัค 300 บาท เจ้าของบอกว่า 300 บาท จะพายกี่ชั่วโมง ไปไหน เท่าไหร่ ก็แล้วแต่ใจเลย ว่าแล้วก็ใส่เสื้อชูชีพ โดดลงเรือ พร้อมจับไม้พาย แล้วก็พายๆๆ ไปตามลูกบอลสีขาวที่ลอยน้ำอยู่ จุดหมายปลายทางของที่นี่คือ การเข้าไปดูตาน้ำที่น้ำผุดขึ้นมา มันจะมีจุดที่เป็นร่มไม้ สามารถเล่นน้ำได้ แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น ต้องพายเรือลอดต้นไม้ที่โผล่อยู่เหนือน้ำ ผ่านตอไม้ที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งเรือก็จะชนบ้าง ติดบ้าง ถ้าติดก็ต้องใช้ไม้พายดันเรือออก เพื่อให้เรือสามารถพายต่อไปได้ 20 นาทีผ่านไป เริ่มเข้าร่มไม้ และเริ่มเย็นขึ้น น้ำใสเห็นใบไม้ที่ทับถมอยู่ด้านล่าง เสมือนเป็นลายกระเบื้องลวดลายสวยงาม พายต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอจุดเล่นน้ำ เป็นสระโล่ง ๆ ขนาดกำลังดี น้ำใส ไหลเย็น เห็นตัวปลา ถ้าใครอยากเล่นน้ำอย่างเดียวไม่อยากพายเรือก็สามารถมาลงตรงจุดเล่นน้ำนี้ได้เลย เพราะแอบเห็นทางลงอยู่ มาถึงจุดนี้แนะนำให้ลงเล่นน้ำ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ มองดูตาน้ำผุด และน้ำก็เย็นใสสุดๆเลย ไปต่อยัง "สระมรกต" 1 ใน Unseen Thailand สระน้ำธรรมชาติที่มีน้ำใสสีเขียวมรกต ค่าเข้าชมสระมรกต คนไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท ระยะทาง 800 เมตรที่ต้องเดินเข้าไปยังสระ หรือจะเลือกเดินอีกทางที่เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ระยะทางประมาณ 2.7 กิโลเมตรก็ได้ แต่เพื่อสัมผัสกับธรรมชาติได้อย่างเต็มอิ่ม แนะนำให้เดิน ไป-กลับ คนละทาง เราเลือกเดินทาง 800 เมตรเพราะเวลาค่อนข้างเย็นมากแล้ว ระหว่างทางเป็นป่า มีเสียงจิ้งหรีด จักจั่นร้องต้อนรับตลอดทาง แล้วเราก็จะค่อย ๆ เจอกับทางน้ำไหล น้ำใสแจ๋วไหลไปตามแนวลำธาร เจอแล้วสระมรกต เป็นสระน้ำสีเขียวใส ท่ามกลางป้าไม้อันร่มรื่น เหมือนสระว่ายน้ำกลางป่าที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้เราได้ชมกัน ลักษณะน้ำคล้าย ๆ กับคลองหรูด แต่มีสีเขียวกว่า ปกติสามารถลงเล่นน้ำได้ แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด เจ้าหน้าที่จึงไม่อนุญาตให้ลงเล่น ปิดท้ายทริปของวัน ด้วยการนั่งมองฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนสี ขณะที่พระอาทิตย์กำลังอัสดง ที่ "อ่าวนาง" ได้เวลาพักผ่อนแล้ว เข้าสู่ที่พัก ปาหนัน รีสอร์ท ซึ่งอยู่บริเวณอ่าวนาง เราพักห้อง DELUXE POOL VIEW ROOM ห้องสะอาดกว้างขวางเห็นวิวสระน้ำ ที่จะมอบการพักผ่อนที่แสนสบายให้กับเรา จุดขายของโรงแรมนี้คือ ห้องพักที่มีสระน้ำหน้าห้อง สวยงามสะดวกสบาย มีบริการ Floating breakfast ให้ได้ถ่ายรูปออกมาสวย ๆ ปัง ๆ สระน้ำมี 2 ที่ ที่แรกอยู่บริเวณลานกลางแจ้ง จุดกึ่งกลางของโรงแรม สระที่สองอยู่บนชั้น 5 ของอาคารที่เราพัก ซึ่งเป็นอาคารที่อยู่ด้านหลังของโรงแรม วันที่ 2 ขึ้นเรือหางยาว ทัวร์ 4 เกาะยอดฮิต หาดถ้ำพระนาง เกาะปอดะ เกาะไก่ ทะเลแหวก เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการกินมื้อเช้าที่โรงแรม มื้ออาหารจะไม่มีส่วนผสมของหมูเลย อาหารน่าจะเป็นฮาลาลทุกอย่าง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทุกศาสนา จากนั้นก็รอรถมารับไปขึ้นเรือ คนขับรถจะมารอที่ล็อบบี้โรงแรม รถแล่นออกไปรับคนอื่น ๆ จากต่างโรงแรมอีกนิดหน่อย จากนั้นก็ขับเข้าสู่ท่าเรือบริษัท วังทราย ซึ่งเป็นผู้จัดโปรแกรมทัวร์ ไปถึงตรวจวัดอุณหภูมิ เซ็นชื่อเรียบร้อยเสร็จสรรพ จะได้รับเป็น Wrist Brand สี ๆ มา โดยแยกตามทัวร์ที่จะไป จากนั้นก็ไปเลือก Snorkel แล้วรอเรียกขึ้นเรือ สถานที่แรกที่ไปคือ "หาดถ้ำพระนาง" โดยเรือจะจอดให้ลงที่หาดไร่เลย์แล้วเดินอ้อมภูเขาหินปูนไปอีกฝั่ง ก็จะเป็นที่ตั้งของหาดพระนาง หาดไร่เลย์ตรงบริเวณที่เรือจอด ตอนเช้าน้ำขึ้นสูงแทบมองไม่เห็นหาดทรายเลย ส่วนท้องฟ้าก็มีเมฆเยอะไปหน่อย ระหว่างทางที่เดินไปหาดถ้ำพระนางก็สวยงามด้วยหินงอกหินย้อยของภูเขาหินปูน จากนั้นก็จะเจอกับหาดทราย และน้ำทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ถ้ำพระนางจะอยู่ทางซ้ายมือ สามารถเข้าไปเยี่ยมชม กราบไหว้ขอพรได้ รูปที่ถ่ายออกมาจากถ้ำพระนาง ออกเรือต่อไปยัง เกาะปอดะ จุดเด่นของที่นี่คือเขาหินปูน ที่รูปร่างคล้ายกับหินตะปูที่พังงา ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่น่าหาด สำหรับเกาะนี้พักผ่อนกันยาว ๆ ถ่ายรูป เล่นน้ำ ทานอาหารกลางวัน เดินเล่นลั้ลลา... หลังจากนั้นก็ได้เวลาไปต่อยัง เกาะไก่ ที่มาของชื่อก็คือรูปร่างของเกาะนั่นเอง ไกด์บอกว่าเดิมชาวต่างชาติจะเรียกว่าเกาะขวาน แต่คนไทยมองว่าเหมือนไก่มากกว่า เลยชื่อเกาะไก่ จุดนี้เรือจะจอดให้ชมและถ่ายรูปจากบนเรือเท่านั้น ซึ่งต้องทำเวลากับการถ่ายรูปนิดนึง เพราะถ้าจอดนานๆ น้ำในหูอาจไม่เท่ากันได้ เมาเรือนั่นเอง จากนั้นก็ไปที่ ทะเลแหวก สถานที่สุดท้ายของทริปนี้ ไปถึงที่ทะเลแหวกประมาณบ่าย 2 โมง น้ำยังไม่ลดเต็มที่ เลยเห็นทะเลแหวกเพียงนิดเดียว ทะเลแหวกเป็นอีก 1 Unseen Thailand ที่มากระบี่ต้องห้ามพลาด ปล. ในทริปเค้าจะแทรกจุดดำน้ำให้เราอยู่ประมาณ 1-2 จุด วันที่ 3 ทัวร์เกาะพีพี ดีต่อใจ ด้วยเรือสปีดโบ๊ท วันนี้วันสุดท้ายที่กระบี่แล้ว โดยมีโปรแกรม เกาะพีพี ส่งท้ายก่อนกลับ เช้าวันนี้ฝนตก อากาศทำท่าไม่เป็นใจ แต่ซักพักก็หยุด และอากาศเริ่มกลับมาแจ่มใสอีกครั้ง โปรแกรมเกาะพีพีวันนี้ เป็นของบริษัท วังทราย เจ้าเดิม รถของบริษัทมารับที่โรงแรมเหมือนอย่างเคย สำหรับเกาะพีพีวันนี้เดินทางด้วยเรือสปีดโบ้ท ออกเดินทางสู่สถานที่แรก "เกาะไม้ไผ่" ความสว่างสดใสของหาดทราย ผืนฟ้า และน้ำทะเล ได้ปรากฏขึ้นตั้งแต่เรือเริ่มวิ่งเข้าใกล้ฝั่ง มันช่างเป็นภาพที่แสนงดงามชวนหลงใหลมากๆ เกาะไผ่ ที่ไม่มีต้นไผ่ เพราะคลื่นสึนามิเมื่อปี 2547 ได้พัดต้นไผ่ไปด้วย คงเหลือไว้แต่ชื่อเกาะไผ่ ที่ช่วยเตือนความจำว่าเกาะแห่งนี้เคยมีต้นไผ่ แม้ฝนจะตกในตอนเช้า แต่น้ำทะเลหลังฝนตกไม่ขุ่นซักนิด ใสแจ๋วเหลือเชื่อ เกาะไม้ไผ่ หรือเกาะไผ่แห่งนี้ เหมาะมากแก่การเล่นน้ำ อาบแดด เดินทอดน่องบนหาดทราย ถ่ายรูป หรือแม้กระทั่งมานั่งเฉยๆเสพบรรยากาศของท้องทะเลที่สดใสเกินร้อย อยากอยู่ที่เกาะนี้นาน ๆ จัง ชอบ... สถานที่ต่อไปอ่าวมาหยา "อ่าวมาหยา"เป็นอีกชื่อที่เราคุ้นหู เราจินตนาการว่ามันคงสวยจนเหมือนภาพมายา เลยเป็นที่มาของชื่ออ่าวมาหยา ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่น่าเกี่ยว เพราะลองไปหาในกูเกิลแล้วไม่มีข้อมูล สำหรับที่อ่าวมาหยาแห่งนี้เค้าจะจอดเรือให้ถ่ายรูปด้านนอกเท่านั้น ไม่สามารถจอดเรือลงไปชื่นชมความงามได้ เพราะเธอเก็บตัวอยู่ เนื่องจากกรมอุทยานฯ ได้ประกาศปิดอ่าวมาหยาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 คงต้องอดใจรอกันอีกนิด ถึงจะเปิดให้เข้าชม ตอนนี้เก็บภาพด้านนอกไปก่อน "ปิเละ ลากูน" และก็มาถึงสถานที่ที่เป็นไฮไลท์ของเกาะพีพี ปิเละ ลากูน เราจะสัมผัสได้เลยว่าน้ำเริ่มใสเป็นสีเขียวมรกตมากขึ้น เมื่อเรือกำลังแล่นสู่ ปิเละ ลากูน น้ำทะเลคือเปล่งประกายมากๆ จุดนี้เล่นน้ำได้ กระโดดน้ำได้ ตามใจชอบ และที่ขาดไม่ได้เลยคือการถ่ายรูปกับวิวอลังการงานธรรมชาติสร้าง น้ำทะเลใสสีเขียวมรกต สะกดทุกสายตา ท่ามกลางภูเขาหินปูนสูงใหญ่ สวยงามเกินบรรยายจริงๆ เรือพาเราแล่นต่อไปยัง "ถ้ำไวกิ้ง" เป็นถ้ำที่มีรังนกนางแอ่น จุดนี้แค่ผ่านชม ไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะบริษัทเอกชนซื้อสัมปทานไปแล้ว คงมีแต่คนงานที่อยู่ในนั้น เพราะแอบเห็นมีเสื้อผ้าคนงานตากอยู่ แอบสงสัยเหมือนกันว่าเค้าอยู่กันยังไง แต่คงให้อารมณ์เหมือนมาผจญภัยดี บ่ายกว่าๆ เข้าสู่ "เกาะพีพี ดอน" เพื่อทานอาหารกลางวันและพักผ่อน อาหารกลางวันทานที่ห้องอาหารของโรงแรม เมนูง่ายๆ เช่น ไก่ทอด ต้มยำรวมมิตร สปาเก็ตตี้ จากนั้นก็พักผ่อนตามอัธยาศัย ที่นี่เค้าให้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเลย เพราะเป็นสถานที่สุดท้าย หลังจากเติมวิตามิน Sea เต็มที่แล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกลับ ใช้เวลาเกือบ ๆ ชั่วโมงก็ถึงฝั่ง สำหรับการเลือกซื้อทัวร์ ให้เลือกตามความเหมาะสมและความพึงพอใจของเราได้เลย เพราะโปรแกรมท่องเที่ยวของแต่ละบริษัท จะเป็นเส้นทางเดียวกันหรือคล้าย ๆ กัน ที่แตกต่างกันคือการบริการ เรือที่ใช้ อาหารการกิน สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ราคาทัวร์แตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นคิดว่าทัวร์เจ้าไหนเหมาะสมกับฐานะ หน้าตา และความพึงพอใจของเราก็เลือกทัวร์นั้นไปเลยจ้า อ่อ! เราขอ เลท เช็คเอ้าท์ กับทางโรงแรม โดยโรงแรมคิดค่าบริการเพิ่มอีก 500 บาท เช็คเอ้าท์ได้ตอน 6 โมงเย็น ไฟล์ทของเราออกจากสนามบินกระบี่ ประมาณ 3 ทุ่ม แล้วเจอกันอีก (หลาย ๆ) ครั้งนะกระบี่ รูปถ่ายทั้งหมดโดย : ผู้เขียน อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !