ฝันมานานแล้ว อยากจะนั่งรถโดยสารจากน่านไปจนถึงหลวงพระบาง พอมีเวลาว่างป้าก็จับญาติ ๆ ขึ้นรถ แล้วขับตรงดิ่งไปที่จังหวัดน่านกันเลยค่ะ ไม่ได้มาหลายปี น่านก็ยังสวยน่ารักเหมือนเดิม ได้ฝากท้องมื้อเย็นที่ตลาดต้องชม อยู่กลางเมืองน่าน เป็นแหล่งขายของฝาก ศูนย์โอทอป บรรยากาศน่ารัก ตอนหัวค่ำจะมีดนตรีและการแสดงพื้นเมืองให้ชมด้วย หลานชายซื้อข้าวกั๊นจิ้น หรือข้าวเงี้ยว มาให้ชิม อร่อยเด็ด เห็นรูปแล้วคิดถึงอยากกลับไปกินอีก คิดถึงทั้งเมืองน่านและหลวงพระบาง อาหารที่นี่ ถูกและอร่อยทุกอย่างที่ได้ชิมเลยค่ะ ตอนเช้ารีบไปซื้อตั๋วรถโดยสารที่ขนส่งเมืองน่าน เนื่องจากขับรถส่วนตัวไป เมื่อได้ตั๋วแล้วก็ต้องรีบไปหาที่จอดรถในวัดอภัย วัดนี้อยู่ติดกับสถานีขนส่ง หลวงพ่ออนุญาตให้จอดรถได้หลาย ๆ วัน ฟรีค่ะ รถที่จะนั่งไปเป็นรถมินิบัส ต้นทางจาก บขส.น่าน ไปถึง บขส.หลวงพระบาง ไม่ต้องเปลี่ยนรถต่อรถอะไรอีกแล้ว รถโดยสารไม่ได้ออกเดินทางทุกวันนะคะ ใครจะไปควรโทรไปเช็คล่วงหน้ากับขนส่งเมืองน่านก่อน สัก 2-3 วัน จะได้จัดเตรียมการเดินทางถูก เบอร์โทรของสถานีเดินรถจังหวัดน่าน โทร. 054 710 027 การซื้อตั๋วต้องมีพาสปอร์ตหรือหนังสือเดินทาง ที่มีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน และมีหน้ากระดาษว่างอย่างน้อยหนึ่งหน้า ราคาค่าโดยสารคนละ 660 บาท ระยะทาง น่าน - หลวงพระบาง 373 กิโลเมตร เมื่อข้ามไปฝั่งลาวแล้ว รถจะแล่นผ่านเมืองหงสา และเมืองไขยะบุรี ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดราว ๆ เกือบ 9 ชั่วโมง ฟังดูเหมือนจะน่าเบื่อ แต่สำหรับป้า ตรงกันข้ามค่ะ ไม่อยากให้ถึงที่หมายเลย เพราะวิวข้างทางมันผ่านภูเขาลูกใหญ่น้อย วกวนคดโค้งไปเรื่อย ๆ ดูเพลินมากค่ะ วันที่ป้าเดินทาง มีผู้โดยสารทั้งหมดห้าคนจาก บขส.น่าน แต่ไปลงที่ด่านชายแดนห้วยโก๋นเสียหนึ่งคน เลยเหลือแค่สี่คนทั้งคันรถ (ไม่รวมคนขับสองคน) นั่งกันสบายมากค่ะ เลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ แต่แอบสงสารเจ้าของกิจการ กลัวจะขาดทุนแล้วจะล้มเลิกเส้นทางนี้เสียก่อน รถโดยสารคันนี้ใช้เส้นทางสายเก่า ก็จะใช้เวลานานกว่าวิ่งบนทางสายใหม่ที่ทางการลาวเพิ่งเปิดใช้หลายชั่วโมงอยู่นะ แต่บอกเลยว่าทั้งทริป ป้าประทับใจที่สุดก็ตอนได้นั่งรถคันนี้บนทางสายเก่านี่แหละค่ะ นั่งกันคนละเบาะ ตามแต่ใจปรารถนา เรียกว่า ฟิน ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางกันเลย วิวข้างทางตั้งแต่ อำเภอท่าวังผา ไปจนถึงด่านห้วยโก๋น อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน จะเป็นทางคดโค้งไปตามภูเขา วิวเกือบจะสวยมากแล้ว ถ้ามันไม่ใช่เป็นเขาหัวโล้นเสียเกือบหมด คนชอบภูเขาอย่างป้า นั่งมองวิวแบบไม่อยากจะหลับตา กลัวพลาดของดี แต่ใครชอบที่จะเมารถก็เตรียมตัวกันให้ดีนะคะ ยาแก้เมา ถุงเถิง เตรียมให้พร้อม รับรองได้ใช้แน่ค่ะ เมื่อถึงจุดผ่านแดนถาวรบ้านห้วยโก๋น ก็ต้องลงจากรถ เพื่อเอาพาสปอร์ตกับแบบฟอร์มแจ้งเข้า-ออกเมือง ที่เราต้องกรอกให้เรียบร้อยตั้งแต่อยู่ในรถ ไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทยประทับตราว่าออกนอกประเทศ แล้วก็เดินข้ามไปฝั่งลาว ให้เจ้าหน้าที่ของลาวประทับตราเข้าเมือง เป็นอันเสร็จพิธี รถ บขส.ของเรา ก็จะมาจอดรอเราที่ฝั่งลาวเรียบร้อยแล้ว ห่างจากด่านพรมแดนของลาวเข้าไปราวๆ 5-6 กิโล ก็จะเป็นสถานีขนส่งเมืองเงิน ถ้าใครจะไปหลวงพระบางเส้นทางใหม่ ก็มาขึ้นรถที่นี่ได้ค่ะ แต่ป้าไปกับ รถ บขส. ใช้เส้นทางสายเก่านั่งยาว ๆ ไป เมื่อขับมาได้สักพัก รถก็จะจอดให้พักทานอาหารกลางวัน เป็นการรับน้องเมืองลาวที่ทำให้กระเป๋าฉีกเบาๆ เพราะอาหารตามสั่งที่ร้านนี้ ราคา 80 บาท แต่ก็ถือเป็นราคาปกติในเมืองลาวนะคะ อาหารที่ลาวจะมีราคาแพงกว่าที่ไทย ทำใจกันไว้เลยเด้อ จานนี้ 80 บาท ข้าวผัดไข่ดาว รสชาติก็อร่อยเหมือนบ้านเราค่ะ ข้าวกับผัดกะเพราไข่ดาว จานนี้ก็ 80 บาท เลชสวยแบบนี้ ไปซื้อหวยดีกว่า.. อิอิ วิวข้างทาง เป็นไร่อะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน พอเข้าเขตเมืองหงสา ข้างทางก็เริ่มมีวิวภูเขามากขึ้น ถนนไม่ค่อยดีนัก มีหลุมบ่อเยอะ รถเลยต้องวิ่งช้า ๆ มีบางช่วงรถตกหลุม ป้าก็จิ้นไปว่า เครื่องบินกำลังตกหลุมอากาศอยู่ อิอิ ถนนแบบนี้ เรียกว่าดีมากแล้วค่ะ เห็นเล็กๆ แบบนี้เถอะ สวนกับรถบรรทุกคันใหญ่ ๆ ได้สบายเลย คนขับสามารถมาก แต่ยิ่งนั่งนาน ๆ ถนนก็เริ่มแย่ แต่ป้าดันชอบเสียอีก สนุกมาก ตอนต้องลุ้นให้คนขับหลีกเลี่ยงหลุมให้ได้ มีบางทีที่เขาซิ่งไปหน่อย ตกหลุมเต็ม ๆ จน อกป้าเกือบหักเพราะแอบรักคุณสามีเลยค่ะ.. อ้าว.. คนละเรื่องกันแล้ว 5555 หลังจากรถตกหลุมรักได้สักพัก ก็ถึงแก่กาล.. ต้องจอดซ่อมกันกลางทางนั่นแหละ คนขับสองคนเก่งทางซ่อมเครื่องยนต์ด้วย ลงไปช่วยกันทำหมุนโน่นนิดนี่หน่อย ก็ขับต่อได้ แต่ยังไม่ทันถึง 20 นาที รถก็ต้องจอดอีกแล้ว ญาติของป้าเริ่มหน้าเสีย แต่ป้ายังดี๊ด๊าอยู่ เพราะถือว่าซื้อเสบียงติดตัวตุนไว้เยอะ มีเพียงพอที่จะแจกจ่ายให้ทุกคนกินอิ่มได้เลย แต่ก็ไม่เกินฝีมือของคนขับรถทั้งสอง ที่ซ่อมได้อีกแล้ว ขับต่อปายยยย.. เรามีเรา เรามีสี่คน ใช่ค่ะ ผู้โดยสารทั้งหมดในวันนั้นมี 4 คน คณะของป้า 3 คน และมีหนุ่มน้อยชาวลาวอีกคนหนึ่ง พวกเรานั่งกันมาจาก บขส.น่าน ตอนรถจอดซ่อมสองครั้ง หนุ่มชาวลาวก็หลับลูกเดียวไม่สนใจอะไรเลย ทีหลังได้คุยกันเขาบอกว่า เหนื่อยจากงานมานานมาก เลยถือโอกาสมานั่งพักหลับบนรถตอนกลับไปหาภรรยาที่หลวงพระบางนี่แหละ จอดซ่อมรถครั้งที่สาม หลังจากขับออกมาจากจุดจอดซ่อมครั้งที่สองได้ราวๆ ไม่ถึงยี่สิบนาที คนขับสองคนลงไปช่วยกันขันน็อตที่ใต้ท้องรถ บรรดาลูกทัวร์ของป้าเริ่มหน้าเหี่ยวแห้ง กลัวจะต้องนอนกลางดินกินกลางทรายแถวนี้ แต่ป้าคิดว่าเราเป็นแค่ผู้โดยสารนี่นาไม่ต้องสนใจ นั่งอย่างเดียว รถเสียมันก็เรื่องของรถ ไม่ใช่เรื่องของเรา ชิมิ ๆๆ .. เอ๊ะ.. หรือจะใช่เรื่องของเราหว่า.. ฮ่า ๆๆๆ ป้าก็ยังดี๊ด๊าต่อไป พูดคุยเย้าแหย่กับคนขับได้เหมือนเดิม ป้าบอกว่า ไม่ต้องกลัวเพราะป้ามีเสบียงมาเยอะ พอแบ่งให้ทุกคนบนรถได้เลย คนขับหน้าเสีย รีบบอกว่า อย่าพูดอย่างนั้นมันเป็นลางไม่ดี... อ้าว ๆๆๆๆ แบบนี้หมายความว่าอะไร คนขับหน้าเสียอย่างนี้ ก็แปลว่า ป้าจะต้องนอนในรถทั้งคืนตรงนี้น่ะหรอ... แว๊ก ๆๆ ม่ายอาวววว.. ทีนี้หนุ่มน้อยชาวลาวที่เป็นผู้โดยสารคนที่สี่ ที่นอนหลับมาตลอดทาง หลับต่อไม่ได้แล้ว เพราะในรถร้อนมาก ต้องดับเครื่องยนต์ แอร์เลยไม่มี เขาก็อดรนทนไม่ไหว ลงไปช่วยซ่อมเครื่องยนต์เสียเลย หนุ่มลาวลงไปดูแป๊ป ๆ ก็บอกได้ว่าปัญหาคืออะไร ตุ้มลมหัก ตุ้มลมนี้มีหน้าที่พัดหม้อน้ำไม่ให้ร้อนจนเกินไป ทีนี้ตุ้มลมไม่ทำงาน หม้อน้ำเลยร้อนจัด ก็จัดการต่อให้ตุ้มลมใช้งานได้ ก็ขับต่อไปได้ หนุ่มลาว ลงไปจับ ๆ ขยับ ๆ อะไรนิดหน่อย รถก็ซ่อมได้สำเร็จราวกับปาฏิหาริย์ คุยไปคุยมา ความจริงก็ปรากฏ เขาทำงานเป็นหัวหน้าช่างยนต์ ต้องดูแลรถบรรทุกทั้งหลายที่ใช้ในการก่อสร้างถนนแถวแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ กรี้ดดดดดด ด. เด็กล้านตัวค่ะ.. ฮ่า ๆๆๆ คือผู้โดยสารอีกคนที่ไม่ใช่พวกของป้า เป็นหัวหน้าซ่อมเครื่องยนต์ของรถบรรทุก และปกติเขาจะนั่งรถที่วิ่งบนเส้นทางสายใหม่ของลาวที่เพิ่งสร้างเสร็จ เพราะมันใช้เวลาน้อยกว่าตั้งหลายชั่วโมง แต่มันต้องต่อรถ ซึ่งวันนี้เขาเหนื่อยมากเลยขี้เกียจเปลี่ยนรถ และถ้าวันไหนไม่เหนื่อยเขาจะขับมอเตอร์ไซด์เองจากเชียงใหม่-หลวงพระบาง นาน ๆ ที ถึงจะใช้บริการของ รถ บขส. สักครั้ง ปาฏิหาริย์ค่ะ ป้าพูดได้คำเดียว.. ฮ่า ๆๆ หลังจากนั้น รถก็ไม่มีปัญหาอีกเลย สามารถขับต่อไปจนถึงหลวงพระบางได้ โดยไม่ต้องจอดซ่อม ข้างทางก็สวยงาม รถวิ่งผ่านเขาหลายลูก ทางคดโค้งขึ้นเขาลงเขา สวยมากอยากนั่งมองทั้งวัน จนไม่อยากให้ถึงหลวงพระบางเลยค่ะ การได้นั่งรถเส้นทางสายเก่านี้ เป็นสิ่งที่ป้าประทับใจที่สุดในทริปหลวงพระบาง คิดถึงอยากมีโอกาสกลับไปนั่งอีกบ่อย ๆ ขอข้ามไปตอนขากลับสักหน่อย เพราะอยากเปรียบเทียบ ขากลับป้านั่งรถตู้โดยสารจากหลวงพระบาง ไปถึงชายแดนไทย-ลาว ที่ด่านห้วยโก๋น ใช้เวลาวิ่งประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า เพราะใช้เส้นทางสายใหม่ที่ถนนยังเรียบกริบ ขับง่าย แต่ข้างทางไม่สวยงามเหมือนทางสายเก่าเลย ผิดหวังมาก แต่ก็จำเป็นต้องนั่งรถตู้ของลาว เพราะรถ บขส. คันนี้หยุดวิ่งในวันที่ป้าจะกลับไทย รถตู้ลาวมาจอดส่งที่เมืองเงิน ต้องเหมารถสองแถวให้มาส่งที่ด่านห้วยโก๋นอีก เท่านั้นยังไม่พอ ต้องมาต่อรถตู้ของไทยจากด่านห้วยโก๋นเพื่อไปจังหวัดน่าน แต่เพราะมีคนลาวข้ามมาฝั่งไทยเยอะ ส่วนใหญ่จะไปหาหมอที่โรงพยาบาลจังหวัดน่าน รถตู้ไทยก็เลยเต็ม ๆๆๆๆ ต้องนั่งรอหลายชั่วโมงมาก กว่าจะถึงจังหวัดน่านก็สะบักสะบอม ได้นั่งรถตู้เที่ยวสุดท้ายด้วย โชคดีที่ยังมีที่นั่งเหลือ ไม่งั้นป้าและญาติ ๆ ก็คงได้นอนตบยุงรอรถทั้งคืนที่ห้วยโก๋นแน่นอนเลย เมืองอะไรไม่รู้ ก่อนจะถึงหลวงพระบาง ชีวิตของเขายังดูเรียบง่าย สบาย ๆ กันมากค่ะ อิจฉาเลย ราว ๆ สองชั่วโมงก่อนถึงหลวงพระบาง ก็จะมีหมู่บ้านข้างทางเยอะ จะมีพื้นราบมากขึ้น พอลงจากรถ บขส. ก็ต้องมานั่งรถสองแถวต่อ ระยะทางราว ๆ สามกิโล จาก ขนส่งหลวงพระบาง เข้าตัวเมือง ค่าโดยสารคนละ 80 บาท ฮือ ๆๆ มันแพงจนนึกว่ากำลังโดนฟันในฐานะเป็นนักท่องเที่ยว หันไปถามหนุ่มลาวหัวหน้าช่างยนต์ที่นั่งรถมาด้วยกันทั้งวัน เขาก็บอกว่า ผมเป็นคนลาว ก็จ่ายราคานี้เหมือนกันครับ... โอเค เข้าใจแล้วค่ะ คราวหน้าถ้าได้มาเที่ยวประเทศลาวอีก กะว่าจะพกเงินมาสักล้านสองล้าน กีบ ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย.. อิอิ การเดินทาง บางทีก็ไม่ใช่จุดหมายปลายทางเท่านั้นนะ ที่จะทำให้เราประทับใจ สิ่งที่เราต้องพบเจอระหว่างทางนี่แหละ บางทีมันจะติดตรึงอยู่ในหัวใจเราตลอดไป ... รักนะ หลวงพระบาง... และ เส้นทางสายเก่า น่าน - หงสา - ไขยะบุรี - หลวงพระบาง ภาพโดยผู้เขียน