เครื่องนุ่งห่มหรือเสื้อผ้าเป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่มนุษย์ต้องการมีไว้เพื่อปกปิดร่างกาย ให้ความอบอุ่น และป้องกันอันตรายจากสิ่งต่างๆ อีกทั้งเครื่องนุ่งห่มยังสามารถสะท้อนถึงบุคลิกภาพ รสนิยม วัฒนธรรม ศาสนา สถานภาพทางสังคม สถานภาพทางการเงิน และเชื้อชาติของผู้สวมใส่ด้วย ต้นกำเนิดของเครื่องนุ่งห่มมีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติ ในยุคนีโอลิทิค (Neolithic) หรือยุคหินใหม่ มนุษย์ได้รู้จักทำการเพาะปลูกและนำเส้นใยจากพืชมาทอเป็นเครื่องนุ่งห่ม ตั้งแต่นั้นมาเครื่องนุ่งห่มก็ได้มีวิวัฒนาการต่อมาเรื่อย ๆ จวบจนปัจจุบันเครื่องนุ่งห่มกลายเป็นสินค้าทางเศรษฐกิจที่มีการใส่แฟชั่นเข้าไปเพื่อให้มูลค่ามากยิ่งขึ้น photo by Prudence Earl จาก unsplash.com กล่าวได้ว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นอยู่ใกล้ตัวเรามาก แต่เรารู้หรือไม่ว่าเสื้อผ้าที่ใส่อยู่นั้นมีที่มาจากไหน?? วันนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกระบวนการผลิตเสื้อผ้ากัน กระบวนการผลิตเสื้อผ้าเริ่มต้นตั้งแต่การนำเส้นใยมาปั่นรวมกันเป็นเส้นด้าย แล้วนำเส้นด้ายมาทอหรือถักเป็นผ้าผืน ผ้าผืนที่ได้อาจนำไปย้อมสีหรือพิมพ์ลวดลายให้สวยงามก่อนนำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าที่เราเห็นกันอยู่ตามท้องตลาด photo by TAS. 1. การปั่นเส้นใยให้เป็นเส้นด้าย กระบวนการนี้เป็นการรวมเส้นใยหลายเส้นมาม้วนตีเกลียวเพื่อให้มีความแข็งแรง ก็จะเกิดเป็นเส้นด้าย photo by Hector J.Rivas จาก unsplsh.com เส้นใยนั้นมีอยู่มากมายหลายประเภท สามารถแบ่งตามต้นกำเนิดเส้นใยได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ เส้นใยจากธรรมชาติ มีทั้งจากพืช เช่น ฝ้าย ลินิน ป่าน ใยสัปปะรด และจากสัตว์ เช่น ใยไหม ใยขนแกะ ฯลฯ เส้นใยสังเคราะห์จากสารเคมี โดยมีมนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น เช่น ไนลอน พอลิเอสเตอร์ ฯลฯ เส้นใยธรรมชาติที่นำไปผสมกับสารเคมี เป็นเส้นใยกึ่งสังเคราะห์ เช่น เรยอน ฯลฯ การเลือกใช้เส้นใยที่จะนำไปผลิตนั้น พิจารณาจากคุณสมบัติที่อยากได้จากผลิตภัณฑ์สุดท้าย (finished product) เช่น ถ้าเราต้องการทำเสื้อที่ใส่ตอนหน้าร้อน เส้นใยที่ควรเลือกคือ เส้นใยฝ้ายที่มีคุณสมบัติระบายอากาศได้ดี จึงจะทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกสบาย photo by Lauren Fleischmann จาก unsplash.com 2. การนำเส้นด้ายมาทำเป็นผ้าผืน มี 2 วิธีด้วยกัน นั่นคือ การทอ เป็นการนำเส้นด้ายมาขัดสานกันเหมือนกับการขัดสานตะกร้า และการถักเหมือนที่เราถักนิตติ้งหรือโครเชต์นั่นเอง ซึ่งตามความนิยมเมื่อเราได้ผ้าผืนแล้วจะนำผ้าผืนไปย้อมสีหรือพิมพ์ให้ผ้ามีลวดลายสวยงามก่อนนำไปเย็บตัดเสื้อ photo by Matt Seymour จาก unsplash.com 3. การนำผ้าผืนมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า เริ่มจากการออกแบบเสื้อผ้าให้มีลักษณะต่าง ๆ เช่น เสื้อคอปก เสื้อแขนกุด เสื้อแขนยาว โดยนำแฟชั่นเข้ามาใส่เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้านั้นๆ ด้วย ช่างตัดเสื้อจะนำแบบเสื้อที่ออกแบบมาวาดเป็นแพทเทิร์นชิ้นส่วนต่าง ๆ ชิ้นตัวเสื้อด้านหน้า ชิ้นตัวเสื้อด้านหลัง ชิ้นแขน และนำแพทเทิร์นเหล่านี้มาวางทาบบนผ้าผืน และตัดผ้าผืนตามแบบแพทเทิร์น จากนั้นนำชิ้นส่วนต่างๆมาเย็บประกอบรวมกันเป็นตัวเสื้อผ้า เพียงเท่านี้เสื้อผ้าที่ได้ก็สามารถออกสู่ตลาดเพื่อนำไปขายต่อได้แล้ว photo by Kenny Luo จาก unsplash.com จะเห็นได้ว่า กว่าที่เราจะได้เสื้อผ้ามาหนึ่งตัวนั้น เสื้อผ้าเหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมายหลายกระบวนการ นั่นทำให้การผลิตเสื้อผ้ามีต้นทุนสูง ทางผู้ผลิตจึงจำเป็นต้องผลิตเสื้อผ้าในปริมาณที่มากเพื่อความคุ้มค่า ทำให้ "เสื้อผ้าสำเร็จรูป" เป็นเสื้อผ้าที่คนส่วนใหญ่สามารถสวมใส่ได้ แต่ยังมีเสื้อผ้าอีกแบบหนึ่งที่มีเพียงชิ้นเดียว เพราะถูกตัดเย็บออกมาโดยเฉพาะตามรูปร่างของผู้สวมใส่และถูกตัดเย็บด้วยความปราณีตบรรจง เรียกว่า "โอต์ กูตูร์" (Haute Couture) เสื้อผ้าโอต์ กูตูร์เป็นเสื้อผ้าแฟชั่นระดับสูง เราจะเห็นเสื้อผ้าพวกนี้ในงานหรือเวทีแฟชั่นโชว์เท่านั้น เนื่องจากราคาที่สูงมากและมีความหรูหราจนไม่เหมาะสำหรับการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน photo by Yogendra Singh จาก unsplash.com รูปภาพปกโดย tamara bellis จาก unsplash.com