(ภาพโดย Public Co จาก Pixabay) ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทำให้เกิดการพัฒนาทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการกิน พฤติกรรมการกินนั้นทำให้บุคคลป่วยอย่างมากมายทั่วโลก เช่น โรคไตวายเรื้อรัง โรคมะเร็ง โรงเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ซึ่งในปัจจุบันนี้ยังไม่มียาที่ใช้ในการรักษาให้หายขาดได้ แต่เป็นเพียงช่วยบรรเทาอาการของโรคให้ไม่รุนแรงเท่านั้น จนองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ให้นิยามโรคติดต่อไม่เรื้อรัง (โรคไม่ติดต่อเรื้อรังหมายถึง โรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ เช่น โรคไตวายเรื้อรัง โรคมะเร็ง โรงเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น) มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกิน เช่น กินหวาน กินเค็ม กินของทอด กินของมัน มากจนเกินความจำเป็นของร่างกาย (ภาพโดย (Joenomias) Menno de Jong จาก Pixabay) การกินให้เหมาะสมนั้นต้องกินตามธงโภชนาการ (ภาพโดย กรมอนามัย สำนักโภชนาการ) โดยเรียงจากการกินปริมาณมากไปหาปริมาณการกินน้อย ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต (ข้าว แป้ง เผือก มัน ข้าวโพด) รองลงมาคือ ผักผลไม้ (ควรกินผักวันละ 400 กรัมหรือ 4 ขีด และการกินผลไม้ควรกินผลไม้ตามฤดูกาล) รองลงมาคือ นม (ควรดื่มนมวันละ 2 แก้ว) และโปรตีน (เนื้อปลา เนื้อไก่ เนื้อหมู กุ้ง ปลาหมึก) และน้อยที่สุดคือ น้ำตาล น้ำมัน เกลือ และควรคำนึงถึงพลังงานที่ได้แต่ละวัน โดยคนทั่วไปจะต้องการพลังงาน 1,500 กิโลแคลอรี่ ถึง 2,000 กิโลแคลอรี่ คำนวณง่าย ๆ ประมาณ 500 กิโลแคลอรี่ต่ออาหาร 1 มื้อ หรือเท่ากับข้าวราดแกง 1 จาน แต่ในความเป็นจริงแล้วข้าวราดแกง 1 จานอาจจะไม่ถึงหรือเกิน 500 กิโลแคลอรี่ ก็ได้ หรือบางท่านอาจจะใช้วิธีการกินแบบ มื้อเช้ากินอย่างราชา มื้อเที่ยงกินอย่างเศรษฐี มื้อเย็นกินอย่างยาจก ก็ได้เช่นเดียวกัน จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าการกินเพียงอย่างเดียวยังส่งผลต่อการเป็นโรคได้อย่างมากมาย แต่ถ้ากินอาหารตามธงโภชนาการแล้วทำไมยังเป็นโรคอยู่นั่นก็เป็นเพราะ เราอาจยังกินอาหารไม่มีคุณภาพก็ได้ เช่น ไม่ใช่อาหารสดใหม่ แม่ค้าปรุงเค็มหรือมันเกินไป และผักยังมีสารพิษปนเปื้อน เป็นต้น หรือยังดูแลตนเองไม่เพียงพอทุกด้าน เช่น การนอนหลับพักผ่อน การออกกำลังกาย ดังนั้นจึงเกิดคำว่า “ถ้าประชาชนไม่กินดีอยู่ดีแล้วจะมีสุขภาพดีได้อย่างไร” และกระทรวงสาธารณสุขจึงเกิดโครงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม “3อ 2ส” โดย อ คือ อาหาร เป็นการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ กินตามสัดส่วน และกินตามธงโภชนาการ อ คือ อารมณ์ เป็นการผ่อนคลายอารมณ์ เช่น ความเครียด อ คือ ออกกำลังกาย โดยออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 วันวันละอย่างน้อย 30 นาที ส คือ ไม่ดื่มสุรา ส คือ ไม่สูบบุหรี่ (ภาพโดย silviarita จาก Pixabay) ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการกินเป็นสาเหตุของการเป็นโรค และเราต้องให้ความสำคัญกับการกิน และการดูแลสุขภาพโดยใช้ 3อ 2ส เป็นหลักเพื่อให้ตนเองมีสุขภาพที่ดีอยู่ตลอดเวลา วันนี้ก็จะมีประสบการณ์จากผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงโดยใช้การดูแลสุขภาพ 3อ 2ส แชร์ประสบการณ์การทำ 3อ 2ส ท่านที่ 1 เป็นผู้ชาย ออกกำลังกายโดยการเดินวันละ 30 นาที ลดการกินของหวาน เน้นรับประทานผลไม้ตามฤดูแต่รับประทานไม่มาก ผ่อนคลายอารมณ์โดยการฟังเพลงและพูดคุยกับเพื่อน ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง จาก 140 เหลือ 120 รู้สึกดีใจที่สามารถดูแลตนเองได้ และมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้น ท่านที่ 2 เป็นผู้หญิง ออกกำลังกายโดยการแก่วงแขนวันละ 100 ครั้ง ไม่รับประทานอาหารหวาน มัน เค็ม ผ่อนคลายอารมณ์โดยการสวดมนต์และนั่งสมาธิ ทำให้ความดันโลหิตลดลงจาก 140 เหลือ 130 และรู้สึกภูมิใจในตนเองที่ตนเองทำได้ จะได้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น