การจัดการตนเองจากโลกภายใน (บทความสุขภาพจิต) “หนูจะทำอย่างไรดีคะ อึดอัดและรำคาญสามีที่ดื่มเหล้าเอาแต่ใจตนเองบางครั้งก็ทะเลาะกันเพราะพูดไม่รู้เรื่อง” “ผมจะทำอย่างไรดีครับ รู้สึกรำคาญคุณครูที่จุกจิกจู้จี้ขี้บ่นชอบถามเรื่องเดิมๆซ้ำๆทั้งๆที่งานที่ต้องการก็ส่งให้เรียบร้อยแล้ว “ “จะทำอย่างไรดีคะ หนูมีเจ้านายที่เป็นคนเจ้าระเบียบมาก บางครั้งมีอาการหวาดระแวงนิดๆด้วยซ้ำ ไม่ค่อยไว้ใจลูกน้องที่ทำงาน ตามเช็กตามถามจนรู้สึกรำคาญค่ะ” “จะให้ทำอย่างไรดีครับ ที่ผู้รับบริการบางคนอัตตาสูงเบ่งตนเองใหญ่โต ต้องการนั่นต้องการนี่ อธิบายอะไรก็ไม่ยอมรับฟัง “ “จะทำอย่างไรดีครับ รู้สึกอึดอัดกับที่ทำงาน ทั้งงานที่ทำและผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก จะลาออกก็กลัวจะตกงานไม่รู้จะทำอย่างไรดีครับ” นั่นเป็นตัวอย่างของคำถามเพียงห้าข้อจากนับร้อยคำถาม ที่ผู้รับบริการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตมักจะถามผู้เขียนเข้ามา จะสังเกตเห็นได้ว่าคำถามส่วนใหญ่มุ่งเน้นที่ต้องการจะไปเปลี่ยนแปลงผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง คำตอบเบื้องต้นที่ผู้เขียน มักจะตอบผู้ที่ถามเข้ามาคือ “ไม่ต้องไปทำอะไรครับให้จัดการที่ตัวเราเอง ควบคุมจากตัวเราเองจะดีและง่ายที่สุด เพราะเมื่อเราควบคุมที่ตัวเราเองได้แล้ว เราจะมีพลังไปควบคุมสถานการณ์ภายนอกที่คนอื่นได้ในที่สุด ตัวอย่างคำถามดังกล่าว สะท้อนความคิดของผู้คนในชีวิตประจำวันมากมาย ที่ส่วนใหญ่มักจะไม่มองเข้ามาที่ตนหรือน้อมเข้าหาตน แต่หันไปโทษผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมแทน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าคนเราใช้กลไกทางจิต (mental mechanism) ชนิดโทษผู้อื่น(projection)นั้นมากกว่าและง่ายกว่าการโทษตนเองและน้อมเข้ามาดูที่ตนเอง เพราะโดยสัญชาตญาณมนุษย์จะรักตัว กลัวตาย กลัวอาย กลัวอด กลัวคนอื่นได้ดีจึงเห็นแก่ตัว เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นมักจะไม่มองเข้ามาที่ตนเพื่อพัฒนาตนเอง แต่จะโทษผู้อื่นไว้ก่อน ดังนั้นจึงตั้งคำถามแต่การจะไปเปลี่ยนแปลงผู้อื่น ดังนั้นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดคือการหันมาแก้ไขและพัฒนาที่ตนเองซึ่งบาลีเรียกว่า โอปนยิโก หรือการน้อมเข้าหาตน นั่นเอง การน้อมเข้าหาตนเองนั้นเป็นคุณธรรมระดับสูง หากใครที่ทำได้จะนำมาสู่การแก้ปัญหาและพัฒนาตนเองได้อย่างแท้จริง ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนมักจะคาดหวังความสุขและความสำเร็จจากสิ่งกระตุ้นเร้าภายนอก จนส่งผลให้ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการของตนเอง เช่น พ่อแม่คาดหวังให้ลูกเป็นตามที่ตัวเองต้องการ ส่วนลูกก็คาดหวังให้พ่อแม่เป็นอย่างที่ตนเองต้องการ สามีภรรยาต่างคนต่างคาดหวังให้ฝ่ายตรงกันข้ามเป็นอย่างที่ตนเองต้องการ ทุกคนล้วนต้องการให้คนอื่นตอบสนองตามที่ตนเองต้องการแทบทั้งสิ้น เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองก็ผิดหวัง ส่งผลให้อารมณ์ฉุนเฉียวหงุดหงิดสุขภาพจิตแปรปรวนในที่สุด การพยายามจะปรับให้ผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมภายนอกให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง แม้เป็นไปได้ก็ไม่ยั่งยืนเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงและแปรปรวนในตัวเขาเสมอ แต่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนนั้นคือการหันมาพัฒนาตัวเอง ไม่โทษผู้อื่น ซึ่งแนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมากในด้านการบริการและการตลาดที่ไม่โทษลูกค้า แต่ให้หันมาพัฒนาที่ตนเองนั่นคือ ลูกค้าพูดไม่รู้เรื่อง ไม่มี…..มีแต่เราเท่านั้นที่ยังไม่สามารถพูดให้เขารู้เรื่อง ลูกค้าไม่ร่วมมือ ไม่มี…..มีแต่เราเท่านั้นที่ยังไม่สามารถทำให้เขาร่วมมือ ลูกค้าไม่ยอมรับ ไม่มี. …มีแต่เราที่ยังไม่สามารถทำให้เขายอมรับ ลูกค้าไม่เข้าใจ ไม่มี …..มีแต่เราที่ยังไม่สามารถทำให้เขาเข้าใจ เพราะฉะนั้นการจะพูดว่าคนอื่นไม่เข้าใจ อธิบายเท่าไหร่พูดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ เป็นอันว่าไม่มี เขาพูดไม่รู้เรื่องก็ไม่มี เมื่อย้อนเข้าหาตนก็หมายความว่าคนที่พูดไม่รู้เรื่องก็คือตัวเรานั่นเอง ที่ยังไม่สามารถอธิบายจนเขารู้เรื่อง แนวคิดเช่นนี้สามารถนำปรับใช้ในชีวิตครอบครัวและสังคมได้ นั่นคือคนในครอบครัวพูดเท่าไหร่ไม่รู้เรื่องไม่มี มีแต่เรายังไม่สามารถพูดจนเขารู้เรื่องเท่านั้น ส่วนในที่ทำงานก็เช่นกัน นั่นคือผู้ร่วมงานพูดเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่องไม่มี มีแต่เรายังไม่สามารถพูดให้เขารู้เรื่องเท่านั้น หรือยังไม่สามารถทำให้เขาร่วมมือกับเราได้เท่านั้นเอง แนวคิดนี้แม้ผู้เขียนเองก็นำมาปรับใช้ในการทำงาน นั่นคือผู้รับบริการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตไม่สบายใจไม่มี มีแต่เรายังไม่สามารถช่วยให้เขาสบายใจเท่านั้น เป็นต้น แนวคิดที่น้อมเข้าหาตนเช่นนี้ เน้นเข้ามาพัฒนาตนเอง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการเชิงคุณภาพที่ให้ความสำคัญแก่บุคลากรในการประเมินตนเองและพัฒนาตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการทางพระพุทธศาสนาคือการพัฒนาที่ตน น้อมเข้าหาตน ดังบทสวดพระธรรมคุณที่ว่าโอปนยิโก ซึ่งแปลว่าน้อมเข้าหาตน ด้วยการหันมาพิจารณากาย พิจารณาจิต มีสติ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของความคิดและอารมณ์ต่างๆ ทั้งรักโลภโกรธหลงเพื่อดับกิเลสโดยสิ้นเชิงนั่นเอง อนึ่งการน้อมเข้าหาตนนี้ถือเป็นการพัฒนาทางธรรม เป็นความคิดที่ดีงามที่เปี่ยมด้วยความกรุณาต่อตนเอง เพราะการพิจารณาแยกแยะให้รู้อาการของกาย ของจิต และความรู้สึกสุขทุกข์ต่างๆ เป็นวิธีการพัฒนาคุณธรรมระดับสูง เพื่อพัฒนาตนเองจากโลกภายใน หากทุกคนพัฒนาตนจากโลกภายในออกมาแล้วพฤติกรรมและวจีกรรมก็จะเปี่ยมเมตตากรุณาที่ผู้อื่นสัมผัสได้ ความรู้สึกดังกล่าวจะส่งผลให้เข้าใจเข้าถึงผู้อื่นอย่างที่เขาเป็นอยู่ จึงจะไม่ตั้งคำถามเพื่อมุ่งให้เขาเปลี่ยนแปลง นำมาสู่การช่วยเหลือเกื้อกูล การยอมรับนับถือและการเข้าใจซึ่งกันและกันนั่นเอง ส่วนการน้อมเข้าหาตนในทางโลกนั้น สิ่งที่คนเราควรทำคือพัฒนาความคิดด้านดีและคิดให้เป็นระบบระเบียบ พัฒนาการสื่อสารด้วยมธุรสวาจาที่มีประสิทธิภาพ พัฒนามิตรภาพที่ดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น พัฒนาอารมณ์ความรู้สึกให้สุขุมร่มเย็นและมีความมั่นคง ตลอดจนพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และความฉลาดทางสังคม และท้ายที่สุดพัฒนาวิชาชีพที่แต่ละคนทำอยู่เพื่อให้เกิดการพัฒนาทั้งตัวเองหน้าที่การงานและสังคมได้ในที่สุด หากทำได้ดังที่อธิบายมาก็จะเป็นการพัฒนาตนเองจากโลกภายในสู่โลกภายนอก จะไม่มุ่งตั้งคำถามเปลี่ยนแปลงที่คนอื่น แต่จะหันมาถามตนเองว่าจะปรับปรุงและแก้ไขอย่างไรเพื่อให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบสุข และท้ายที่สุดจะเกิดสันติสุขทั้งต่อตนเองและผู้อื่นโดยทั่วกัน เครดิต ภาพปกจากจาก :kytalpa / pixabay ภาพที่1จาก: RyanMcGuire / pixabay ภาพที่2จาก : geralt / pixabay ภาพที่3จาก: ผู้เขียน ภาพที่4จาก:ผู้เขียน รศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญา นักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊ค ประธานสถาบันพัฒนาบุคลากรwuttipong academy เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !