โลกออนไลน์ทุกวันนี้ มีเรื่องราวของ "พระ" ทางลบ อย่างสม่ำเสมอ การเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้และไม่ผิดเพี้ยน ควรศึกษาจากพระไตรปิฎก และในบทความนี้ก็มีเนื้อหาสุดพิเศษ เรื่องราวอินเทรนด์ เรื่องของพระ ที่โยมสามารถเข้าใจได้เช่นกันนักบวชในพระพุทธศาสนา ที่รู้จักในนาม พระสงฆ์อีกนามในพระไตรปิฎก ได้กล่าวถึงผู้รับทานในความหมาย คือ ภิกษุหรือภิกฺขุ ภาษาบาลี แปลว่า ผู้ทำลายกิเลส ผู้เห็นภัยในสงสาร และผู้ขอแม้ภิกษุผู้ซึ่งเป็นผู้ขอ ในทางตรงกันข้าม ภิกษุได้เป็นผู้ให้แก่ ทายก ทายิกา (ชาย หญิงผู้ให้ทานแก่ภิกษุ) ด้วยเช่นกัน ดังอุมมาทันตีชาดก กล่าวในรายละเอียดไว้ดังนี้ การเป็นภิกษุผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่ากับได้กระทำในสิ่งที่มีผลต่อการเป็นผู้ให้บุญกุศล แก่ผู้ให้ทาน ชื่อว่าทำกรรมอันมีผลเป็นสุขในเพราะนั้นทานนั้นแท้จริง คุณสมบัติของผู้รับทาน (ภิกษุ)คุณสมบัติของภิกษุผู้รับทาน ผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า คือ เป็นผู้ควรแก่ของคำนับ ต้อนรับ ทำบุญและทำอัญชลี หากได้ถวายทานแด่ภิกษุ ซึ่งเป็นบุญเขตชั้นเยี่ยม เป็นเหตุให้ได้รับผลบุญที่เลิศ อันได้แก่ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติคุณ สุขและพละ ปรากฎในพระไตรปิฎก มีดังนี้1. คุณสมบัติในการเป็นเนื้อนาบุญ คุณลักษณะของภิกษุนาบุญ หรือเป็นบุญเขตอันเยี่ยม (เขตตสูตร : องฺ.สตฺตก. 37/124/476-478) 1) เป็นสัมมาทิฐิ คือ มีความเห็นชอบ2) เป็นสัมมาสังกัปปะ คือ มีความดำริชอบ3) เป็นสัมมาวาจา คือ มีวาจาชอบ4) เป็นสัมมากัมมันตะ คือ มีการงานชอบ ประพฤติกายสุจริต5) เป็นสัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ6) เป็นสัมมาวายามะ คือ มีความพยายามชอบ7) เป็นสัมมาสติ คือ มีความระลึกชอบ8) เป็นสัมมาสมาธิ คือ มีความตั้งใจชอบ2. คุณสมบัติของภิกษุผู้เป็นทักษิณาทาน (ทานสูตร : องฺ.ปญฺจก. 36/308/628 ) ประกอบด้วยองค์ 3 คือ1) ปราศจากราคะ หรือปฏิบัติเพื่อกำจัดราคะ2) ปราศจากโทสะ หรือปฏิบัติเพื่อกำจัดโทสะ3) ปราศจากโมหะ หรือปฏิบัติเพื่อกำจัดโมหะ3. คุณสมบัติของภิกษุผู้เป็นห้วงบุญห้วงกุศล (ปุญญาภิสันทสูตร : องฺ.อฏฺฐก. 37/129/492-494 )8 ประการ อันนำความสุขมาให้ แก่ผู้ให้ทาน ยังอารมณ์ที่เลิศ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ เป็นไปเพื่อสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข1) ภิกษุเป็นผู้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่ง2) ภิกษุเป็นผู้ระลึกถึงพระธรรม ว่าเป็นที่พึ่ง3) ภิกษุเป็นผู้ระลึกถึงพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง4) ภิกษุเป็นผู้ละจากการฆ่าสัตว์ ให้ความไม่มีภัย ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน5) ภิกษุเป็นผู้ละและงดเว้นจากลักทรัพย์6) ภิกษุเป็นผู้ละและงดเว้นจากประพฤติผิดในกาม7) ภิกษุเป็นผู้ละและงดเว้นจากพูดปด8) ภิกษุเป็นผู้ละและงดเว้นการดื่มน้ำเมา4. คุณสมบัติของภิกษุผู้เป็นอริยสาวก (มหานามสูตร ว่าด้วยอนุสติของพระอริยสาวก : องฺ.ฉกฺก. 36/281/529-532) (ภิกษุผู้เคร่งครัดในการประพฤติ ปฏิบัติธรรม และฝึกฝนอบรมตนเอง)1) อริยสาวกหรือพระสงฆ์ผู้เป็นห้วงแห่งบุญกุศล เป็นปัจจัยนำมาซึ่งความสุขในคุณลักษณะของภิกษุ ดังต่อไปนี้มีความเลื่อมใสอย่างมั่นคง ในพระพุทธเจ้า พร้อมกับจำแนกธรรม (ศึกษาธรรมอย่างละเอียด)มีความเลื่อมใสอย่างมั่นคง ในพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้มีความเลื่อมใสอย่างมั่นคง ในพระสงฆ์สาวก ว่าเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ กับเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่าเป็นผู้เคร่งครัดในการรักษาศีล ปฏิบัติตนเพื่อสมาธิ มีใจปราศจากความตระหนี่ รักการให้ทาน พร้อมกับจำแนกทาน (พิจารณาในการทำทาน)2) อริยสาวกเป็นผู้มีความถึงพร้อม ดังต่อไปนี้สัทธาสัมปทา คือ มีศรัทธาเชื่อพระปัญญาตรัสรู้ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสีลสัมปทา คือ เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาตและการดื่มน้ำเมาจาคสัมปทา คือ มีใจปราศจากความตระหนี่ มีปกติในการให้ ยินดีในการสละ เป็นผู้ควรแก่การขอและพิจารณาในการให้ทานปัญญาสัมปทา คือ เป็นผู้ละความโลภ ความอยากได้ อยากมีอยากเป็น-ความพยาบาท ความง่วงหงาวหาวนอน ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ความลังเลสงสัย อันเป็นเครื่องทำให้ใจเศร้าหมอง แต่สามารถละได้ ภิกษุผู้มีปัญญาสัมปทา จึงมีปัญญามาก ที่สามารถเห็นทางกำจัดกิเลส3) ทรัพย์ 7 ประการ ของอริยสาวก ดังต่อไปนี้ทรัพย์ คือ ศรัทธา อันภิกษุผู้มีศรัทธา เชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรัพย์ คือ ศีล อันภิกษุผู้เว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ กับการดื่มน้ำเมาทรัพย์ คือ หิริ อันภิกษุผู้มีความละอายต่อการกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่ทุจริต (ความประพฤติชั่ว) ซึ่งเป็นอกุศลธรรมอันลามก (ความประพฤติที่มิชอบ)ทรัพย์ คือ โอตตัปปะ อันภิกษุผู้มีความสะดุ้งกลัวต่อกาย วาจา ใจ ที่ทุจริต สะดุ้งกลัวต่อการถูกต้องอกุศลธรรมอันลามกทรัพย์ คือ สุตะ อันภิกษุผู้เป็นพหูสูต คือ ได้ฟังหรือศึกษาเล่าเรียนมาก สามารถท่องได้คล่องปากขึ้นใจ แจ่มแจ้งในธรรม พร้อมถ่ายทอดเผยแพร่ธรรมอันงามทรัพย์ คือ จาคะ อันภิกษุผู้มีใจอันปราศจากมลทิน เป็นเหตุให้ใจไม่บริสุทธิ์ นั่นคือ ความตระหนี่ ภิกษุจึงให้ทานเป็นปกติ ยินดีในการสละออก เป็นผู้ควรแก่การขอและการให้ทานทรัพย์ คือ ปัญญา อันภิกษุผู้มีปัญญา รู้และเท่าทันในความเกิดและความดับ เป็นผู้บรรลุธรรม สามารถบรรเทาและชำระกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ4) อริยสาวกในพระศาสนานี้ ย่อมระลึกถึงพระตถาคตเนือง ๆ ดังต่อไปนี้พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม เมื่ออริยสาวกระลึกถึงพระตถาคตเนือง ๆ จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะ โทสะและโมหะกลุ้มรุม5. คุณสมบัติในหลักธรรม 1) สิ่งที่ควรปฏิบัติอันเหมาะแก่ภิกษุ คือ ธรรม 6 อย่าง ดังต่อไปนี้ธรรม 6 อย่างที่ควรให้เจริญ คือ อนุสติฐานะ 6 ได้แก่ การระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ (ว่าเป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า) ศีล ทานที่ตนบริจาค และคุณที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา (ผลบุญกุศลทำให้บังเกิดในสวรรค์ชั้นต่าง ๆ มีอยู่จริง)ธรรม 6 อย่างที่ควรกำหนดรู้ คือ อายตนะภายใน 6 ได้แก่ อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจธรรม 6 อย่างที่ควรละตัณหา 6 หมู่ ได้แก่ ตัณหาในรูป เสียงกลิ่น รสโผฏฐัพพะ (สัมผัส) และธรรม (ธรรมในที่นี้คือ อกุสลาหมายถึงอกุศลกรรม หรือสิ่งที่ไม่ดี เป็นโทษ บาป)ธรรม 6 ประการ เพื่อการละอาสวะ ในอาสวสูตร อังคุตตรนิกาย ปัญจกฉักกนิบาต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ดังนี้- ภิกษุละอาสวะด้วยการสำรวม คือ พิจารณาโดยแยบคาย สำรวมด้วยจักขุนทรีย์ (ตา) โสตินทรีย์(หู) ฆานินทรีย์(จมูก) ชิวหินทรีย์(ลิ้น) กายินทรีย์(กาย) และมนินทรีย์(ใจ)- ภิกษุละอาสวะด้วยการซ่องเสพ คือ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมเสพจีวรเพียงเพื่อป้องกันหนาว ร้อน เหลือบ ยุง ลม แดด เป็นต้น (ใช้อัฐบริขารหรือเครื่องใช้สอยของภิกษุเพียงเพื่อประทังชีวิตหรือรักษาชีวิตให้อยู่ได้อย่างปกติสุข)- ภิกษุละอาสวะด้วยความอดกลั้น คือ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมเป็นผู้อดทนต่อหนาว ร้อน หิว กระหาย เหลือบ ยุง ลมแดดและสัมผัสแห่งสัตว์เลื้อยคลาน ย่อมเป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำหยาบ คำเสียดสี ย่อมเป็นผู้อดกลั้นต่อทุกขเวทนาทางกายที่เกิดขึ้นแล้ว กล้าแข็ง เผ็ดร้อนดี ไม่เป็นที่พอใจ สามารถปลิดชีพไปได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่อดทนอยู่ อาสวะที่ทำความคับแค้นและความเร่าร้อนพึงเกิดขึ้น (อดทนต่อสิ่งที่มากระทบทางกาย วาจา ใจ)- ภิกษุละอาสวะด้วยการหลีกเลี่ยง คือ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงช้างดุ ม้าดุ โคดุ สุนัขดุ งู (สัตว์ดุร้าย) หลักตอที่มีหนามหลุม ตลิ่งชัน บ่อโสโครก ท่อโสโครก (สถานที่อันตราย) พวกวิญญูชน (บุคคลซึ่งรู้ผิดรู้ชอบตามปรกติ) ที่เป็นพรหมจารี (บรรพชิต) พึงลงความเห็นเธอผู้นั่งในที่ไม่ควรนั่ง เที่ยวไปในที่ไม่ควรเที่ยวไป (ไม่ไปในสถานที่ ๆ ไม่ควร) และคบปาปมิตรเช่นใด ในฐานะที่เป็นบาป (ไม่คบมิตรชั่ว)- ภิกษุละอาสวะด้วยการบรรเทา คือ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมไม่รับไว้ ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้สิ้นไป ทำให้หมดไป ซึ่งกามวิตก-พยาบาทวิตก-วิหิงสา (ความเบียดเบียนการทำร้าย) วิตกซึ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งธรรมที่เป็นบาป อกุศลที่เกิดขึ้น (ละความกังวลร้อนใจในกาม-พยาบาท-ความเบียดเบียน)- ภิกษุละอาสวะด้วยการภาวนา คือ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธน้อมไปเพื่อความสละ ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะอาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละ การเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา จึงเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย และไม่ยาก หากตั้งใจในการประพฤติปฏิบัติธรรม เป็นผู้สงบ สำรวม ระวังอินทรีย์ รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร จึงทำให้ข้าศึก คือ กิเลส ไม่สามารถมาทำร้าย ทำลายในเพศสมณะได้การทำบุญให้ทานของสาธุชน ผู้รักในธรรม ศรัทธา เลื่อมใส ในพระสงฆ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบจักเป็นบุญมหาศาล ในยามโลกทุกข์แสนเข็ญเนื้อหาข้างต้นเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนได้เขียนไว้ในหนังสือ "ทานศึกษา ขุมทรัพย์จากพระไตรปิฎก" สามารถอ่านเนื้อหาฉบับเต็มได้ที่ร้านหนังสือออนไลน์ดังนี้SE-ED Meb Ookbee เกณฑ์พิจารณาว่า "พระ" รูปไหนปฏิบัติดี ชอบไม่ใช่มองเพียงว่า ท่านเทศน์ เก่ง ดี สนุกควรศึกษาด้วยว่า พระนี้ วัดนี้ หมั่นสวดมนต์เช้าค่ำ นั่งสมาธิเนืองนิจ การหมั่นทำกิจสำคัญของสงฆ์อย่างไม่ละเลย เช่นนี้ช่วยป้องกันกิเลสมาแทรกแทรงในจิตใจ เป็นผู้หมั่นน้อมนำใจเข้าหาพระบรมศาสดานี้ล่ะจึงพอจะเรียกได้ว่า "พระที่น่าเลื่อมใสศรัทธา" เครดิตภาพ ภาพปก และภาพประกอบ (1-4) โดยผู้เขียนเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !