การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ตามคำจำกัดความขององค์การอนามัยโลก (WHO) คือ วิธีการดูแลที่เป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ที่ป่วยด้วยโรคที่คุกคามต่อชีวิต โดยให้การป้องกันและบรรเทาความทุกข์ทรมานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยและครอบครัว ด้วยการเข้าไปดูแลปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในระยะแรก ๆ ของโรค รวมทั้งทำการประเมินปัญหาสุขภาพ ทั้งทางด้านกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณอย่างละเอียดครบถ้วน แต่ผู้เขียนอยากจะมาแชร์ความหมายของการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง (Palliative Care) ในแบบฉบับของผู้เขียนเอง โดยบอกเล่าจากประสบการณ์ตรงที่ได้ดูแลคุณแม่ที่ป่วยระยะประคับประคอง เป็นภาษาที่เข้าใจได้ง่ายและอยากให้ลองติดตาม การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในนิยามของผู้เขียน คือ วิธีการดูแลสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยให้รู้สึกสบายกาย สบายใจ และทุกข์ทรมานกับระยะท้ายของโรคให้น้อยที่สุด โดยควบคู่ไปกับแนวทางการรักษาในปัจจุบันจนถึงที่สุด รวมถึงการให้ความสำคัญในการดูแลสภาพจิตใจของครอบครัวผู้ป่วยที่อาจจะกำลังทุกข์ใจ สับสน วิตกกังวล ท้อแท้ ด้วยโรคอันเกิดขึ้นกับบุคคลอันเป็นที่รัก ให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันเลวร้ายนี้ไปได้ ดังสรุปสั้น ๆ ไว้ตรงประโยคนี้ "อยู่อย่างสบายกาย...จากไปอย่างสบายใจ" การดูแลแบบประคับประคองเริ่มต้นขึ้นจากการที่คุณหมอได้ "วินิจฉัย" ว่าโรคร้ายนั้นได้เดินทางมาถึงระยะท้ายสุดแล้ว นั่นหมายความว่า จะไม่มีทางไหนเลยที่รักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคนี้ได้อีก กลับไปพักรักษาตัวที่บ้านน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า อ่านถึงตรงนี้เชื่อว่า ความหดหู่ น่าจะแทรกเข้าไปในหัวใจของใครหลายคนแน่นอน กับคำถามที่ผุดขึ้นในหัวของคนในครอบครัวของผู้ป่วยที่ยังไม่ได้ผ่านการ ตกผลึกทางความคิด เสียก่อน เช่น คุณหมอพยายามมากพอหรือยังกับการรักษา, ทำไมไม่หาหนทางรักษาต่อ, ทำไมไม่ให้ยาสำหรับรักษาหรือควบคุมโรคที่ได้ผล จะได้ไม่ลุกลาม, คิดจะทิ้งผู้ป่วยกลางทางทั้ง ๆ ที่ยังมีลมหายใจแล้วไล่กลับไปรอความตายที่บ้าน...เช่นนี้หรือ?? นี่เป็นตัวอย่างของญาติหรือคนในครอบครัวที่สภาพจิตใจกำลังย่ำแย่จนบางครั้งทำให้ลืมไปว่าคุณหมอเป็นเพียงผู้รักษาผู้ป่วยตามแนวทางให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเสียชีวิต แต่นั่นต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงด้วย หากภาวะร่างกายของผู้ป่วยรับไม่ไหวกับตัวโรคที่กำลังเผชิญอยู่ เส้นทางสำหรับผู้ป่วยคงมีให้เลือกไม่มากนัก หรือท้ายที่สุดอาจจะเหลือเพียงแค่ทางเดียวที่เราปฏิเสธไม่ได้เลย จึงเป็นที่มาที่ผู้เขียนให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง และอยากแบ่งปันประสบกาณ์จริงในฐานะผู้ที่เคยอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์นี้ ให้ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ด้วยความเข้าใจการดูแลประคับประคองสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย 1) จัดหาสถานที่สำหรับผู้ป่วยในยามพักผ่อนให้ปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเทและมีแสงสว่างเข้าถึง ผู้ป่วยจะได้รู้สึกผ่อนคลายและหายใจสะดวกสบาย ไม่อึดอัดหรือแออัด 2) จัดหาที่นอนให้เหมาะสมกับผู้ป่วย และคำนึงถึงความปลอดภัย เช่น ควรนอนเตียง หรือนอนฟูกปูกับพื้น หรือถ้ามีจำนวนชั้นของบ้านมากกว่า 1 ชั้น ควรจัดให้อยู่ชั้นล่าง เพื่อให้ง่ายต่อการดูแล ซึ่งต้องประเมินหาความลงตัวให้เหมาะกับผู้ป่วยและครอบครัวนั้น ๆ ด้วย แต่ในยุคสมัยนี้มีองค์กรหรือโครงการมากมายที่จัดขึ้นมาเพื่อช่วยสังคมในด้านต่าง ๆ เช่น การให้คำแนะนำจาก อสม.หมู่บ้าน การให้ยืมเตียงคนป่วยหากผู้ป่วยต้องการเตียงพยาบาลที่อำนวยความสะดวกในการพยุงตัวผู้ป่วยให้สามารถลุก นั่ง ได้อย่างสบาย เหมือนเตียงที่โรงพยาบาล ยกตัวอย่างเช่น โครงการเตียงให้ยืม หรือลองกูเกิลเสิร์ชโครงการใกล้บ้านดูนะคะ 3) หากผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง จนไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้อีกต่อไป ทางครอบครัวต้องเพิ่มบทบาทในการดูแลผู้ป่วย เป็นกำลังกายและกำลังใจสำคัญให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าสามารถ พักพิงและพึ่งพาได้ ไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองนั้นเป็น "ภาระ" หรือการไม่ทอดทิ้งให้ผู้ป่วยเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง ในบางครอบครัวต้องทำงาน ไม่สามารถดูแลผู้ป่วยได้ตลอดเวลา การหาพยาบาลพิเศษ หรือ คนเฝ้าไข้ ก็ต้องนำข้อนี้มาพิจารณาด้วย 4) หมั่นให้กำลังใจผู้ป่วยอยู่เสมอ พูดคุย ใส่พลังบวกลงไปในความคิดของผู้ป่วย เลี่ยงการปลอบโยนหรือรู้สึกสงสารผู้ป่วยที่มากเกินไป เพราะนั่นเป็นความเห็นใจที่กลายเป็นการซ้ำเติมแผลในใจผู้ป่วยเข้าไปอีกโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเยี่ยมไข้ มันจะดีกว่ามั๊ย??? ถ้ามาสร้างบรรยากาศที่ดี มาเติมรอยยิ้มที่เป็นสุข มาเติมความอบอุ่นให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่เงียบเหงา ให้ลืมความทุกข์ความเจ็บป่วยจากโรคที่เป็นอยู่สักช่วงเวลาหนึ่งก็ยังดี 5) หากเป็นคนนับถือศาสนาพุทธ คนในครอบครัวจะให้ผู้ป่วยใช้เวลาไปกับการนอนฟังธรรม สวดมนต์ หรือการทำบุญต่าง ๆ เพื่อให้จิตใจสงบเป็นสุข และปล่อยวางได้ เพื่อให้จิตสุดท้ายเดินทางสู่สัมปรายภพ ตามความเชื่อ เพราะนอกจากผู้ป่วยและคนในครอบครัวจะได้สร้างบุญร่วมกันแล้ว อาจจะได้สัจธรรมในการดำเนินชีวิต หากวันหนึ่งที่เกิดการสูญเสีย คุณจะได้อยู่ต่อไปด้วยความเข้าใจชีวิตมากขึ้น 6) เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ตัดสินใจกับวาระสุดท้ายของตนเอง หรือจัดการสะสางเรื่องต่าง ๆ ที่ค้างคาให้เรียบร้อยก่อนจะจากไปอย่างหมดห่วง ว่าอยากให้เป็นไปในทิศทางไหน เช่น มีการพูดคุยว่าหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ผู้ป่วยต้องการจะให้ครอบครัวยื้อชีวิตไหม, ฝากจัดการเรื่องใด, สั่งเสียเรื่องใด เป็นต้น ทั้งนี้ต้องดูความเหมาะสมของแต่ละครอบครัวที่มีบริบทต่างกันด้วย ไม่ใช่ว่าทุกครอบครัวจะสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง ต้องคำนึงถึงผู้ป่วยเป็นสำคัญ หากผู้ป่วยไม่ได้สั่งเสียหรือบอกความต้องการ คุณควรจะปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ต้องคาดคั้นคำตอบใดจากผู้ป่วยจนกว่าผู้ป่วยจะพร้อม 7) ในกรณีที่ผู้ป่วยดำเนินมาถึงโค้งสุดท้ายแห่งชีวิต "การบอกลา" จึงนับได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ การบอกให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบและหมดห่วงควรจะเป็นการรับรู้สุดท้ายที่ผู้ป่วยได้ยินได้ฟัง หากครอบครัวตัดสินใจแล้วว่า จะให้ผู้ป่วยจากไปแบบธรรมชาติและสงบที่สุด ไม่เร่งการตาย ไม่ยื้อชีวิต สิ่งที่คุณต้องเตรียมตัวเตรียมใจ คือการรวบรวมสติเพื่อรับมือกับร่างกายที่เข้าสู่ภาวะถดถอยลงของผู้ป่วยที่แสดงออกมาทางกายภาพ เล็งเห็นถึงระบบในร่างกายที่กำลังเข้าสู่โหมด "รวน" จนกระทั่งหยุดกระบวนการทำงานต่าง ๆ ที่เคยสัมพันธ์กันอย่างช้า ๆ และสิ้นสุดลงตรงที่ไม่เห็นการหายใจ นี่แหละคือจุดสิ้นสุดของกระบวนการดูแลแบบประคับประคอง หลายคนมักมีข้อกังขาว่า "จะเป็นความรู้สึกผิดและเกิดตราบาปในใจหรือไม่" ที่การปล่อยให้ผู้ป่วยโดนความตายพรากไปต่อหน้าต่อตาโดยที่เราไม่ทำอะไรเลย ผู้เขียนขออธิบายให้เห็นภาพตามนี้นะคะ เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งครอบครัวรับรู้ได้นอกเหนือจากการวินิจฉัยของแพทย์ว่า ระยะสุดท้าย นั่นคือ ระยะสุดท้ายทั้งของโรคและระยะสุดท้ายของชีวิตผู้ป่วยจริง ๆ ภาวะภายในร่างกายมันล้มเหลวตามธรรมชาติ ที่ไม่อาจจะผ่าตัดเปลี่ยนอะไหล่แล้วกลับมาทำงานใหม่ได้ เป็นสิ่งที่ครอบครัวต้องยอมรับ ดังนั้น ไม่ว่าคุณอยากจะยื้อชีวิตผู้ป่วย เช่น หากไตวายก็ต้องฟอกไต หากเลือดจางก็ต้องให้เลือด หากกินอาหารไม่ได้ก็ต้องให้ทางสายยาง หายใจเองไม่ได้ก็ต้องสอดเครื่องช่วยหายใจ เพียงเพื่อสนองความต้องการของตนเองที่ไม่อยากเสียใจและทำใจไม่ได้ต่อการจากไปของคนที่รัก แต่ต้องแลกกับการยื้อชีวิตผู้ป่วยให้กลับมาทุกข์ทรมานเพื่อรอความตายอีกครั้ง เท่านั้นเองน่ะหรือ??? การดูแลประคับประคองสภาพจิตใจของครอบครัว นอกจากการดูแลสภาพจิตใจของผู้ป่วยแล้ว สภาพจิตใจของคนในครอบครัวก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ตามความรู้สึกของผู้เขียนที่ดูแลคุณแม่ตั้งแต่ป่วยระยะแรกเรื่อยมาจนเข้าสู่ระยะประคับประคองและจากไป ทุกวินาทีมันคือความบีบหัวใจและปวดหัวใจเป็นที่สุด ไม่มีสิ่งใดในโลกมาอธิบายความเสียใจทั้งหมดได้ ในขณะที่แม่ของเราเจ็บป่วย เราไม่สามารถแบ่งเบาแบกรับเอาความเจ็บปวดนั้นมาได้เลย จุกอยู่ในอก อัดแน่นอยู่ในใจ การที่ต้องแอบร้องไห้ออกมาเพื่อระบายความเสียใจซะบ้าง มันยังดีกว่าการร้องไห้ในใจที่อึดอัดมากหากใครเคยเป็น แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ต้องแสดงออกมาให้แม่รู้ว่าลูกเข้มแข็งมากแค่ไหน และพร้อมจะอยู่เคียงข้างท่านในทุกเวลาที่เหลืออยู่ กำลังใจจากคนในครอบครัวที่ให้กัน กำลังใจจากเพื่อน จากญาติพี่น้อง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญ แต่ทุกกำลังใจจะไร้ซึ่งความหมายใดถ้าคุณไม่มีกำลังใจให้ตัวเอง หากคุณเป็นเสาหลักในการต้องดูแลผู้ป่วย ขอให้คุณจงหยิบเอาทัศนคติด้านบวก สิ่งที่เป็นเรื่องดี ๆ พลังบวกต่าง ๆ มาคอยเติมสมอง มาคอยเติมหัวใจ ให้คุณสามารถผ่านเรื่องหนักหนาและความรู้สึกที่แย่ที่สุดนี้ไปให้จงได้ คิดไว้เสมอว่า ความผลักพรากจากคนที่เรารักย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกคน ร้องไห้ เสียใจ คิดถึงผู้ที่จากไปได้ แต่ต้องพยายามฟื้นตัวให้เร็ว เพราะเรายังคงต้องก้าวเดินต่อบนเส้นทางแห่งชีวิตเพื่อทำหน้าที่ของเราต่อไป..."ขอบฟ้าที่เรานั่งบอกคราวนั้นยังมีความหมายต้นไม้ลำธารยิ่งมองยิ่งคิดถึงเธอมากมายชีวิตที่มันขาดเธอวันนี้ยังเดินต่อไปแค่ได้คิดถึงก็เป็นสุขใจ และจะคิดถึงเธอตลอดไป...."จากบางส่วนของเนื้อเพลง แค่ได้คิดถึง (ญารินดา) ปล. บทความนี้เป็นการแชร์ประสบการณ์ที่อาศัยองค์ความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (Palliative Care) โดยปรับใช้ให้เหมาะกับครอบครัวของผู้เขียน ไม่ได้มีเจตนาชี้นำว่าทุกเรื่องราวคือสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุดสำหรับครอบครัวอื่นที่มีบริบทต่างกัน ขอให้ผู้อ่านใ่ช้เพื่อเป็นแนวทาง และพิจารณาปรับตามความเหมาะสมตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความเข้าใจ บทความโดย >>> ผู้เขียน : อินท์กรกัญจน์องค์ความรู้ Palliative Care ที่อยากแนะนำผู้อ่านเพิ่มเติม >>> ชีวามิตรภาพประกอบ(หน้าปก)โดย >>> elianaenloe จาก pixabayภาพประกอบโดย >>> geralt / jeanvdmeulen / truthseeker08 / sasint / Walkerssk / Pexels / GoranH / pasja1000 จาก pixabayภาพประกอบโดย >>> โครงการเตียงให้ยืม จาก Facebookเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !