ความตายความหมายและการให้คุณค่า “เดี๋ยวนี้พี่ไม่กลัวตายเลย พี่ไม่มองว่าการตายคือการพลัดพราก แต่พี่มองว่าการตายเป็นเพียงการเปลี่ยนภพชาติ เปลี่ยนสภาวะจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง หรือเหมือนเปลี่ยนห้องนอนจากห้องหนึ่งไปนอนอีกห้องหนึ่ง มนฑลจักรวาลเรากว้างใหญ่ไพศาลมีอะไรอีกมากมายที่น่าเรียนรู้และสัมผัสในรูปแบบที่ไม่ได้อยู่ในสภาวะความเป็นมนุษย์ ในเมื่อชีวิตทำแต่ความดีเชื่อว่าเมื่อเปลี่ยนภพก็ต้องไปในภพภูมิที่ดีนั่นเอง” นั่นเป็นคำพูดขอกัลยาณมิตรรุ่นพี่ของผู้เขียนเล่าให้ฟังเมื่อครั้งที่เรานั่งสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องชีวิตและความตาย คนที่จะคิดได้เช่นนี้ส่วนใหญ่จะศึกษาด้านศาสนาปรัชญาและเรียนรู้จักโลกมามากจึงมีปัญญาในทางธรรมและมุมมองต่อชีวิตและการตายที่ไม่น่ากลัว แต่มิใช่การอยากตายหรือฆ่าตัวตายและไม่ใช่เก่งกล้าท้ารบกับความตายแบบคนไร้สติ ผู้เขียนจึงขอนำเรื่องราวของการตายมาเล่าให้ฟังดังนี้ ความกลัวตายเป็นปัญหาด้านสุขภาพจิตอย่างหนึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าให้คุณค่าและความหมายต่างกันอย่างไร คนส่วนใหญ่ล้วนกลัวตายเพราะเผลอใส่ความหมายโดยอัตโนมัติว่าการตายคือการพลัดพรากที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต จึงกลัวตายและพยายามทุกวิถีทางที่ให้ตนเองรอดตาย บางคนทำแม้กระทั่งฆ่าคนอื่นให้ตายเพื่อรักษาชีวิตตนเองให้รอด การดูแลรักษาชีวิตให้สมบูรณ์และอายุยืนเป็นสิ่งที่ดีเพราะการเกิดเป็นมนุษย์และการทำให้อายุยืนนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นยากยิ่งซึ่งอธิบายไว้ในพระพุทธศาสนา เพราะมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถตรัสรู้ได้และตายโดยไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก คนกลัวตายจะขาดทุนในชีวิต กล่าวคือการตายเป็นหน้าที่ของชีวิต ทุกคนที่เกิดมาแล้วต้องตาย เพราะเป็นหน้าที่ของชีวิตตามธรรมชาติ แต่การเกิดอาจไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องมาเกิดแต่มาเกิดเองเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม แต่เมื่อเกิดแล้วต้องตาย ดังนั้นคนที่กลัวตายใช่ว่าจะไม่ตาย แต่ก่อนตายจะดำรงชีวิตด้วยความรู้สึกหวาดกลัว ทั้งๆที่การตายยังมาไม่ถึง อย่างนี้เป็นการขาดทุนทางธรรมขณะที่ยังดำรงชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจชีวิตและเข้าใจความตายอย่างแท้จริงจะดำรงชีวิตอย่างไม่ประมาท มีสติสัมปชัญญะ ไม่เก่งกล้าท้ารบต่อความตาย แต่ไม่ใช่อยากตายและเมื่อถึงเวลาจะต้องตายก็ต้องตายอะไรก็ห้ามไม่ได้ ในพระพุทธศาสนาอธิบายเรื่องการตายไว้สามประเภทดังนี้ 1)ขณิกมรณะคือการตายทุกขณะจิต เพราะในทางอภิธรรมจิตคนเรามีการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปอยู่ทุกขณะจิต เพียงแต่มนุษย์ไม่สามารถที่จะใช้สติสัมปชัญญะแยกแยะการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปด้วยความแสนจะรวดเร็วนั้น เฉกเช่นที่เราเห็นไฟที่สว่างอยู่นั้น ความจริงเป็นกระแสเกิดดับเกิดดับแต่รวดเร็วเสียจนประสาทสัมผัสของมนุษย์ไม่สามารถวิเคราะห์การเกิดดับเกิดดับได้ด้วยสายตา ดังนั้นจิตมนุษย์ก็เกิดดับเกิดดับครั้งแล้วครั้งเล่านับครั้งนับชาติไม่ถ้วน นั่นคือมีการตายอยู่ทุกขณะจิตนั่นเอง 2)สมมติมรณะก็คือการตายทางร่างกาย เป็นการตายในชีวิตของมนุษย์ทุกคนเป็นความปกติและสมบูรณ์ของชีวิตต่างกันที่เวลา โดยที่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเราจะตายที่ไหน เราจะตายเมื่อไร เราจะตายอย่างไร และตายแล้วจะไปที่ไหน ดังนั้นในพระพุทธศาสนาจึงอบรมพุทธศาสนิกชนให้มีมรณานุสติคือการพิจารณาความตายทุกลมหายใจเข้าออกเพื่อให้สติอยู่กับตนแม้เวลาต้องตายจิตจะได้ไปสู่สุคติภพนั่นเอง ทั้งนี้การมองเช่นนี้ไม่ใช่การมองโลกในทางลบแต่เป็นการมองโลกตามความเป็นจริงในระดับปรมัตถ์ธรรม ดังนั้นเมื่อร่างกายหมดลมหายใจแล้วก็นำไปเผาหรือไปฝั่งนั่นเรียกว่าการตายโดยสมมติ แต่จิตที่ตาย(จุติจิต)นั้นออกจากร่างแล้วไปเกิด(ปฏิสนธิจิต)ใหม่ทันที่พร้อมกรรมต่างๆที่ได้สั่งสมไว้ในภวังคจิต เป็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปอยู่เรื่อยๆภพแล้วภพเล่าเช่นนั้นเอง 3)สมุจเฉทมรณะหมายถึงการตายที่ดับทุกข์ดับกิเลสโดยสิ้นเชิงหรือนิพพาน โดยไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีก ซึ่งเป็นการตายในระดับพระอรหันต์ และเส้นทางสู่การตายที่ดับทุกข์ดับกิเลสโดยสิ้นเชิงนี้คือการเจริญสติปัฏฐานสี่คือการมุ่งรับรู้สภาวะของ กาย จิต เวทนาและธรรม ว่าเกิดขึ้นได้เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม เมื่อเหตุปัจจัยไม่พร้อมก็สลายไปไม่อาจควบคุมได้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นแต่เพียงการมาประชุมของ กาย จิต(ธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์)และเจตสิก(ธรรมชาติที่ปรุงแต่งอารมณ์)เท่านั้นไม่มีตัวเราตัวเขาไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคลมีแต่สภาวะธรรมล้วนๆ สำหรับศาสนิกชนที่นับถือศาสนาที่มีพระผู้เป็นเจ้าเช่นศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม ต่างสอนศาสนิกชนให้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า มองว่าทุกอย่างในชีวิตมีพระผู้เป็นเจ้าทรงนำและให้ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนอย่างเคร่งครัด หากแม้นวันหนึ่งต้องตาย จิตวิญญาณก็จะได้สถิตอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าในสรวงสวรรค์ ซึ่งการสอนเช่นนี้จะช่วยให้ลดความกังวลต่อความตายลงได้เพราะวางใจในพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงนำและหากแม้นตายก็มีความหวังไปสู่สรวงสวรรค์เป็นดินแดนที่แสนจะบริสุทธิ์และงดงามกว่าโลกมนุษย์มากมายนั่นเอง คนจำนวนไม่น้อยดำรงชีวิตอยู่ด้วยการมองว่าความตายคือการพลัดพรากที่ยิ่งใหญ่และไม่ได้ใช้หลักธรรมคำสอนในศาสนาที่ตนนับถือมาเป็นเครื่องมือและวิธีการมองในเรื่องของความตายอย่างแท้จริง จึงมักวิตกกังวลเป็นโรคประสาทกลัวความตาย สำหรับคนที่ศึกษาศาสนาอย่างเข้าใจก็จะช่วยให้ความกลัวนั้นลดลงและจิตใจอยู่ในความสงบ และอีกหลายคนก็ไม่อาจจัดการได้ด้วยตนเองจึงต้องพึ่งจิตแพทย์และยาคลายความวิตกกังวลซึ่งพบอยู่ทั่วโลก ดังนั้นผู้เขียนจึงขอเชิญชวนทุกท่านหันมาศึกษาและให้ความหมายต่อความตายในทางที่เป็นบวก พร้อมทั้งศึกษาหลักธรรมเรื่องของความตายเพื่อปรับความคิดให้สอดคล้องกับศาสนาที่ตนเองนับถือก็จะช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตให้ดำรงชีวิตด้วยความสงบและลดอาการกลัวตายได้ในที่สุด ภาพปกจาก : Pexels / pixabay ภาพที่1จาก : Tumisu / pixabay ภาพที่2จาก : KELLEPICS / pixabay ภาพที่3จาก: ผู้เขียน ภาพที่4จาก: fietzfotos / pixabay ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญา นักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊ค ประธานสถาบันพัฒนาบุคลากรwuttipong academy ,ให้บริการอบรมและพัฒนาบุคลากรและการจัดการเชิงคุณภาพ, ไอดีไลน์ ac6555 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !