ความหมายของการทูต สามารถทำความเข้าใจกันได้ว่าเป็นการดำเนินนโยบายต่างประเทศของผู้แทนรัฐในการเจรจาหรือการปฏิบัติเพื่อดำเนินนโยบายต่างประเทศของบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ โดยสันติวิธี หรือกล่าวง่าย ๆ คือ เป็นเรื่องของการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยมีคณะบุคคล (คนที่ถูกตั้งขึ้นมาเป็นกลุ่ม ๆ) เป็นตัวแทนของรัฐในการที่จะเข้าไปเจรจาเพื่อทำข้อตกลงหรือการปฏิบัติงานต่าง ๆ กับรัฐอื่นในต่างประเทศ ซึ่งคณะบุคคลนี้ รัฐบาลเป็นผู้ส่งตัวแทนไปเพื่อดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเราเรียกว่า คณะผู้แทนทางการทูต อธิบายถึงการเข้ารับตำแหน่งของหัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูต ซึ่งแน่นอนว่าในคณะผู้แทนทางการทูตที่จะต้องส่งไปเพื่อทำภารกิจของรัฐให้สำเร็จได้จะต้องมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนและการจะส่งคณะทูตไปประจำในที่ต่าง ๆ ในแต่ละประเทศนั้นไม่ใช่ว่าสามารถที่จะส่งไปได้เลยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐที่เป็นผู้รับก่อน (ประเทศหรือรัฐที่เราต้องการจะส่งคณะผู้แทนทางการทูตนั้นไป) โดยที่รัฐผู้รับนั้นจะบอกปฏิเสธโดยไม่ต้องบอกเหตุผลที่ไม่รับก็ได้ นอกจากนี้จะถือว่าได้เริ่มรับหน้าที่นั้นก็ต่อเมื่อได้ยื่นสาส์นตราตั้งหรือมีการบอกกล่าวการมาถึงของตัวเองและยื่นเสนอสำเนาสาส์นตราตั้งของตัวเองต่อกระทรวงการต่างประเทศของประเทศที่เป็นผู้รับ แต่หากเป็นบุคคลในคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายการทูต เช่นฝ่ายธุรการ ฝ่ายวิชาการเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีสาส์นตราตั้ง เพียงแต่แจ้งให้รัฐผู้รับได้รับรู้ ประเภทของคณะผู้แทนทางการทูต หัวหน้าคณะผู้แทน แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ - ชั้นเอกอัครราชทูตหรือเอกอัครสมณทูต - ชั้นรัฐทูต อัครราชทูต อัครสมณทูตและ - ชั้นอุปทูต หน้าที่ของผู้แทนทางการทูต ได้แก่ 1. คุ้มครองผลประโยชน์ของรัฐตัวเองและคนในชาติของรัฐเราเอง ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัฐผู้รับและรัฐของตัวเอง 2. การทำการเจรจากับรัฐบาลของผู้รับในเรื่องต่าง ๆ 3. การแสวงหาข่าวและรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นของรัฐที่ตนไปประจำอยู่และส่งข่าวกลับมาที่ประเทศของตัวเอง หรือรายงานปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ทั่วโลก 4. ผู้แทนต้องไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของรัฐผู้รับ เคารพต่อกฎหมายภายในของรัฐผู้รับ ต่อมาผู้เขียนจะขออธิบายถึง ความคุ้มกันทางการทูต กล่าวง่าย ๆ คือการที่ต้องเป็นตัวแทนของประเทศที่ต้องเดินทางไปอยู่ประเทศอื่นนั้น แน่นอนว่าต้องมีข้อจำกัดมากมายเนื่องจากสังคม วัฒนธรรม การใช้ชีวิตประจำวันอาจจะไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศ ดังนั้นบุคคลผู้ที่เป็นตัวแทนที่ต้องไปทำงานนั้นจึงควรที่จะได้รับการปกป้องสิทธิจากรัฐที่ตัวเองไปประจำอยู่เช่นกัน จึงทำให้เกิดข้อกฎหมายขึ้นว่าบุคคลเหล่านี้จะได้รับการคุ้มครองอย่างไรบ้าง -ความคุ้มกันเกี่ยวกับตัวบุคคล โดยตัวแทนของคณะทูตจะได้รับความคุ้มครองว่าจะไม่มีความเสียหายใด ๆ เกิดขึ้นกับตนเองไม่ว่าจะทางด้านร่างกายหรือทรัพย์สิน โดยเป็นการรับรองจากรัฐที่ผู้แทนอยู่ว่าจะไม่มีการทำร้ายต่อร่างกายของผู้แทนหรือทำกับทรัพย์สินซึ่งเป็นการรับประกันในด้านความปลอดภัยเและจะไม่ถูกจับกุมหรือกักขังไม่ว่ารูปแบบใด นอกจากนี้จะได้รับความเคารพจากรัฐผู้รับตามความสมควรเนื่องจากการเป็นผู้แทนทางการทูตเปรียบเสมือนการไปปฏิบัติหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์กันจึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลและเคารพจากรัฐที่ผู้แทนไปประจำอยู่ด้วย -ความคุ้มกันเกี่ยวกับสถานที่ สถานที่ที่เป็นที่ทำงานหรือที่พักอาศัยส่วนตัวของคณะผู้แทนนั้นไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมาก่อให้เกิดความเสียหายกับสถานที่เหล่านั้นได้ แม้แต่ตัวแทนของรัฐผู้รับก็ไม่อาจเข้าไปในสถานที่นั้นได้ ยกเว้นว่าได้รับความยินยอมจากหัวหน้าคณะผู้แทนก่อน นอกจากนี้สถานที่ เครื่องใช้ประดับตกแต่ง และทรัพย์สินอื่นของคณะผู้แทนในสถานที่เหล่านั้น และพาหนะที่ใช้ในการขนส่งของคณะผู้แทนจะได้รับความคุ้มครองจากการค้น การอายัด หรือการบังคับคดี ซึ่งในเรื่องการทูตนี้มีอยู่ในบทเรียนของคณะนิติศาสตร์ ในรายวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองคือ กฎหมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในฐานะที่รัฐเป็นนิติบุคคลจึงมีบทเรียนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการทูต การระงับข้อพิพาทหรือเรียนรู้องค์กรในระดับนานาชาติอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีอาชีพนักการทูต ที่เกี่ยวข้องกับการทูต ที่ไม่ได้มีแค่ลำดับชั้นเอกอัครราชทูตเท่านั้น แต่ยังมีลำดับชั้นอื่นอีกที่รองลงมา ซึ่งสามารถสอบเข้าเป็นนักการทูตได้หลังจากที่จบปริญญาตรีแล้ว ไม่ว่าคณะใดก็ตาม แหล่งข้อมูล : พระราชบัญญัติว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางทูต พ.ศ. 2527 ภาพทั้งหมดโดยผู้เขียน