ตั้งแต่ไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่แพร่กระจายในตลาดสดเมือองอู่ฮั่นช่วงปลายปี พ.ศ.2562 และเเพร่กระจายไปทั่วโลกจนมีผู้เสียชีวิตไปกว่าล้านคนแล้ว เมื่อการระบาดแพร่ไปทั่วโลกรับบาลหลายประเทศใช้มาจรการปิดพรมแดนและล็อคดาวน์เพื่อลดการระบาดให้เร็วที่สุดในระหว่างทำการคิดค้นวัควีนจนเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรงทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศแถบตะวันตก อีกทั้งยังมีความรู้สึกของคนตะวันตกบางส่วนที่มีต่อชาวจีนในทางที่ไม่ค่อยจะดี โดยมองว่าจีนเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ในขณะนี้ทั่วโลกต่างก็ผลิตวัควันได้แล้วกว่าสองพันล้านโดส แต่การจะเข้าถึงวัคซีนยังเป็นปัญหา เพราะผู้ที่ได้รับวัคซีนส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศมั่งคั่ง และถูกมองว่ากักตุนเกินความจำเป็น ในบทความนี้ผู้เขียนจะยกตัวอย่าง3ประเทศมหาอำนาจเพื่ออธิบายการฑูตวัคซีน โดยเริ่มจากรัสเซีย ไปยังจีน สู่สหรัฐฯ และอธิบายผลที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยตามลำดับ มาเริ่มกันที่ประเทศรัสเซีย วัคซีนสปุตนิก วี (Sputnik V)ถูกคิดค้นขึ้นโดยรัสเซีย โดยชื่อนี้มีที่มาที่ไม่ธรรมดา เพราะมาจากความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของรัสเซียในช่วงที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต โดยตัว V ย่อมาจาก Victory (ชัยชนะ) มาจากการที่โซเวียต(รัสเซีย)ชนะในสงครามโลกครั้งที่2 และ Sputnik (สปุตนิก) ชื่อดาวเทียมดวงแรกของโลกที่โซเวียต(รัสเซีย)ส่งขึ้นไปอวกาศ และมีการโฆษณาว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคสูง ในปัจจุบันวัคซีนนี้ถูกนำไปใช้แล้วกว่า60ประเทศ แต่หลายๆประเทศยังคงมีความกังวลในเรื่องของประสิทธิภาพอยู่ เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนนี้ในประเทศรัสเซียนั้นยังถือว่าไม่สูงมาก ผลการสำรวจพบว่าชาวรัสเซียบางส่วนไม่กลัวไวรัสนี้ และอีกส่วนมากยังไม่เชื่อในประสิทธิภาพวัคซีนประเทศตน ปัญหานี้ทำให้เกิดความคิดว่า “หากรัสเซียต้องการสร้างอำนาจอ่อน (Soft power) ผ่านยโยบายการฑูตวัคซีนให้สำเร็จ สิ่งแรกที่รัสเซียต้องทำให้ได้คือทำให้คนในประเทศตนเชื่อมั่นในวัคซีนของประเทศตนให้ได้เสียก่อน” ต่อกันที่ประเทศจีนที่เป็นต้นตอของการเเพร่ระบาดครั้งใหญ่ได้คว้าโอกาสพลิกตัวเองจากผู้ก่อเหตุสู่การเป็นผู้ให้โดยใช้อำนาจอ่อนด้วยการทุ่มทุนให้แก่ด้านการฑูตวัคซีน เพียงแค่เริ่มต้นโครงการ จีนก็สามารถนำเหล่าประเทสในอาเซียนเข้าเป็นพันธมิตร โดยการบริจาควัคซีนและเครื่องมือทางการเเพทย์ แผนการนี้ประสบความสำเร็จมาก เพราะจีนได้แก้ไขภาพลักาณ์ที่ไม่ดีของตนจากวิกฤติโควิด-19 ด้วยการแสดงบทบาทผู้ให้แก่กลุ่มอาเซียน และกลุ่มอาเซียนเองก็ยังต้องพึ่งพาจีนในด้านการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ จีนเห็นดังนั้นจึงดำเนินนโยบายการฑูตวัคซีนทันที ทว่าประเทศเวียดนามเป็นประเทศเดียวที่ไม่รับวัควีนจากจีน เพราะเกรงว่าจะมีผลต่อการเจรจาด้านการเมือองระหว่างประเทศ เนื่องจากเวียดนามยังมีข้อพิพาทเรื่องทะเลจีนใต้ที่ยังไม่คลี่คลาย ทำให้เบื้องหน้าผู้นำเวียดนามชมจีนในเรื่องการจัดการกับโควิด-19 แต่เบื้องหลังนั้น เวียดนามยังไม่ปักใจเชื่อในคำมั่นของจีนที่ว่าเป็นการให้เปล่าโดยไม่หวังผลตอบแทน และเวียดนามเองได้ประกาศจะเข้าร่วมโครงการโคเเวกซ์ (Covax)เท่านั้น อันดับที่สามจะกล่าวถึงสหรัฐ ภายหลังจากที่จีนเริ่มนโยบายการฑูตวัคซีนผ่านการบริจาควัคซีนไปทั่วโลกนำหน้าสหรัฐไปแล้ว หลายกลุ่มตั้งข้อสงสัยว่า “การที่สหรัฐดำเนินการล่าช้ากว่าจีน เนื่องจากสหรัฐต้องการกักตุนวัคซีนใช่หรือไม่” โดยต่อมาอุปฑูตรักาาการแทนเอกอัครราชฑูตสหรัฐฯได้ออกแถลงว่า “เนื่องจากสหรัฐฯเพิ่งก้าวข้ามวิกฤติไวรัสจากการสูญเสียประชากรไปกว่าครึ่งล้านคนแล้ว จึงต้องรีบฉีดวัคซีนให้คนในประเทศของตนให้ครบก่อน เนื่องจากทั่วโลกยังต้องพึ่งพาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จึงมีความจำเป็นต้องรีบฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเป็นปกติดยเร็วที่สุด” และในภายหลังมีการโฆษณาว่าวัคซีนของสหรัฐฯนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าวัคซีนของประเทศจีน ในส่วนของการเเข่งขันด้านวัคซีน (Vaccine race)ระหว่างจีนและสหรัฐนั้น โดยส่วนตัวแล้วดิฉันมอองว่าเป็นการแข่งขันกันขยายอำนาจโดยใช้วัคซีนเป็นเครื่องมือ เมื่อจีนคิดค้นและและเริ่มกระจายวัคซีนก่อนสหรัฐฯ ทำให้หลายคนมองว่าสหรัฐฯกักตุน และหลายคนอาจลืมไปว่าจีนคือต้นตอของโควิด-19 แต่ด้วยความตื่นตัวและการรีบกู้ภาพลักษณ์ของจีน ผ่านการบริจาคเครื่องมือแพทย์และวัคซีน ทำให้เกิดภาพของ “ผู้ให้” มาบดบังภาพของ “ตัวการ” ของเรื่องไป ในขณะที่สหรัฐฯกำลังพยามแสดงบทบาทผู้ให้ตามมา มาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่าหากจีนใช้อำนาจอ่อนในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ตนอันเป็นการเข้าถึงใจคนหลายประเทศได้ และหากสหรัฐนยังกู้ภาพลักษณ์ที่ดีให้ตนไม่ได้ ดิฉันมองว่าจะเป็นการปูทางให้จีนก้าวสู่การเป็นมหาอำนาจแทนสหรัฐฯได้ง่ายขึ้น ผลที่ส่งมาถึงประเทศไทย ภายหลังจากที่ประเทศไทยประกาศขอรับวัคซีนออหไป ก็ได้มีการส่งมอบทั้งวัคซีนและอุปกรณืทางการเเพทยืจากนานาประเทศเข้ามาไทยมากมาย แต่ดิฉันจะเน้นไปที่จีนและสหรัฐฯ โดยจีนมอบวัคซีนและอุปกรณ์ทางการเเพทย์แก่ไทยมากมายมูลค่ากว่า30ล้านบาท อีกทั้งยังกล่าวว่า “จีนไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน” เพื่อเป็นการย้ำว่าจีนยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อไทยไม่เปลี่ยนเเปลง และสหรัฐฯเองก็ได้ให้ความช่วยเหลือประเทสไทยทั้งวัคซีนและอุปกรณืทางการแพทย์รวมมูลค่ากว่า30ล้านเหรียญ และยังมีเงินทุนสนับสนุนจากศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐฯอีก13ล้านเหรียญ และจะทำงานร่วมกับไทยในการจัดการไวรัสนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับไทยคือ ไทยได้รับการช่วยเหลือจากสองชาติมหาอำนาจ ซึ่งเป็นการรับอำนาจของทั้งสองประเทศ(จีนและสหรัฐฯ)มาไว้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้นำของไทยแล้ว ว่าจะดำเนินนโยบายด้านความสัมพันธ์กับสองประเทศมหาอำนาจนี้ต่อไปอย่างไร ให้สามารถรักษาสมดุลของทั้งสองความสัมพันธ์ให้เป็นไปได้ด้วยดี และยั่งยืน ตั้งแต่นโยบายการฑูตของรัสเซียที่แม้จะใช้ชื่อเรียกวัควีนเพื่อเเสดงอำนาจ หรือ เพื่อโฆษณาประสิทธิภาพวัคซีนของประเทศตนแล้ว แต่ยังก็ไม่เป็นที่ยอมรับของหลายๆประเทศ เนื่องจากรัสเซียยังไม่สามารถจูงใจให้คนในประเทศตนไว้วางใจในวัคซีนตนได้ จึงเป็นการยากที่จะทำให้ชาติอื่นๆเชื่อมั่นมนประสิทธิภาพวัคซีนของรัสเซีย ถัดมาอย่างประเทศจีนที่แม้ตนเองเป็นต้นตอของการระบาดไวรัสโควิด-19 แต่ก็สามารถกู้และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีคืนให้ตนเองได้โดยการคิดค้นและกระจายวัคซีนออกไปก่อนสหรัฐฯ ทำให้หลายประเทศชื่นชมจีน และมองจีนเป็นดั่งผู้ให้ จนบางครั้งผู้คนอาจลืมไปว่าจีนคืออต้นตอของเรื่อง เเม้จีนจะกล่าวว่าการบริจาควัคซีนนี้เป็นการให้เปล่าโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนก็ตาม แต่ในความเห็นของดิฉันนั้นมองว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่แลกกับบางสิ่ง” เพราะถึงจีนจะบริจาควัคซีนแบบให้เปล่าในหลายๆประเทศ และกล่าวว่าไม่หวังสิ่งตอบแทนเพื่อสนับสนุนการกระทำให้ดูมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือมากขึ้น และดูเป็นผู้ให้ที่แท้จริง แต่มองอีกมุมนั้นการกระทำเช่นนี้เป็นการขยายอิทธิพลของตนอย่างชัดเจน โดยใช้ภาพลักษณ์ของผู้ให้ที่เป็นอำนาจอ่อนในการเข้าถึงใจผู้คนได้ง่ายที่สุด ไม่ต่างอะไรกับสหรัฐฯ ที่แสดงบทบาทผู้ให้ที่มาวาทกรรมติดตัวว่าให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และการโฆษณาว่าวัคซีนของตนมีประสิทธิภาพมากกว่าของจีน แต่ก็เป็นดังที่กล่าวไปในข้างต้นว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่แลกกับบางสิ่ง” และในวันใดวันหนึ่งที่เหล่าประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือด้านวัคซีนนี้รวมทั้งไทย จะต้องเลือกว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด อาจถูกนำเรื่องวัคซีนนี้เข้ามาต่อรอง ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้นำขอองไทยในวันนั้น ว่าจะตัดสินใจอย่างไร เพื่อรักษาผลประโยชน์ของาติให้ได้มากที่สุดและสูญเสียน้อยที่สุด ดังนั้นสุดท้านนี้ดิฉันมองว่าทั้งรัสเซียที่ออาจไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องการฑูตวัคซีน หรือจีนและสหรัฐฯที่พยายามแสดงบทบาทผู้ให้ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายแล้ว จุดร่วมหรือเป้าหมายที่ทุกฝ่ายมีเหมือนกันก็คือ “การขยายอิทธิพลของตน” ด้วยการฑูตที่มีวัคซีนเป็นเครื่องมือ รวมถึงการแสดงบทบาทผู้ัให้อันเป็นอำนาจอ่อนในการเข้าถึงใจผู้ัคนจนเกิดเป็น “การฑูตวัคซีนของชาติมหาอำนาจ” เครดิตภาพจาก : B over the world เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !