การบวชของชาวล้านนาในอดีต ชาวล้านนานิยมให้บุตรชายบวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะถือว่ายังบริสุทธิ์ไม่ผ่านเรื่องทางโลกมา เด็กๆจะได้รับการฝึกฝนวิชาความรู้ต่างๆ ด้วยวัดเป็นศูนย์รวมวิชาการทุกอย่าง เช่นวิชาการแพทย์การช่าง การสังคม และการศึกษา เป็นต้น เมื่อลูกได้เข้าศึกษาเล่าเรียนจะเป็นผู้มีความรู้ เมื่อสึกมาแล้วสามารถเชิดหน้าชูตาของวงศ์ตระกูลได้ ผู้ที่บวชตั้งแต่เด็กว่า “ลูกแก้ว”การได้เป็นเจ้าภาพบวชเด็ก เจ้าภาพบวชได้บุญมาก ก่อนที่จะมีการบวชเป็นสามเณรได้นั้น ต้องเริ่มจากการให้เด็กไปอยู่ในวัดเรียกว่า โขยมเสียก่อน สมัยก่อน โขยม ใช้เรียก ข้าพระภิกษุ ข้าวัด ข้าพระพุทธรูป มีทั้งที่เป็นผู้ใหญ่และเด็ก ต่อมาเมื่อเลิกการมีข้าวัดแล้ว โขยมที่เป็นผู้ใหญ่จึงหมดไป ปัจจุบันเรียกเด็กที่พ่อแม่จะนำไปฝากกับพระภิกษุว่า"โขยม"ที่วัด หรือเด็กวัดนั่นเอง เด็กเหล่านี้มีหน้าที่รับใช้พระภิกษุสามเณร และพระภิกษุจะสั่งสอนอบรมให้การศึกษาแก่เด็กนั้นเป็นการตอบแทน เมื่อเข้าเป็นโขยมได้ประมาณ ๓ - ๔ ปี จึงบวชเป็นสามเณรได้ เมื่อเป็นโขยมได้หลายปี เด็กสามารถอ่านเขียนหนังสือภาษาพื้นเมือง ท่องคำขอบวชได้แล้วเจ้าอาวาสจะแจ้งให้พ่อแม่รู้ว่าเด็กควรจะบวชเณรได้ จากนั้นจะหาฤกษ์หาวันบวชให้ มีความเชื่อว่าพี่น้องพ่อแม่เดียวกันห้ามบวชพร้อมกัน เมื่อใกล้ถึงวันบวชพ่อแม่หรือญาติจะบอกบุญกับญาติพี่น้องที่อยู่ต่างบ้าน มีขันคือพานใส่ดอกไม้ธูปเทียน และผ้าสบงหรือผ้าจีวรวางบนพานแล้วอุ้มไปบอกบุญ ครั้นถึงวันดา(วันสุกดิบ) ญาติๆจะช่วยกันเตรียมแต่งดาเครื่องไทยทานและอาหารที่จะถวายพระ จากนั้นจัดบวนฆ้องกลองไปรับโขยมที่วัด โขยมแต่งตัวเหมือนเจ้าชาย แล้วจะเรียกกันว่า “ลูกแก้ว” ขี่ม้าก่อนบวช เมื่อเป็นลูกแก้วแล้วจะได้รับการประคบประหงมแม้แต่ดินก็ไม่ให้เหยียบ ไปทางไหนจะมีคนอุ้มไปตลอด จากนั้นคนอุ้มก็อุ้มลูกแก้ว ขึ้นม้าแห่ไปที่บ้านเจ้าภาพ เมื่อมาถึงเชิงบันไดจะมีคนคอยตักน้ำล้างเท้าให้แล้วอุ้มขึ้นไปพักผ่อนบนเรือน จากนั้นเป็นพิธีเรียกขวัญลูกแก้ว หากที่บ้านมีซอฉลองจะอุ้มลูกแก้วขึ้นไปบนผามช่างซอ ช่างซอจะผูกมือเรียกขวัญอีกครั้งหนึ่งหลังจากนั้นจึงเป็นการพักเลี้ยงอาหารแก่ผู้มาร่วมงาน เมื่อรับประทานอาหารกลางวันกันเรียบร้อยแล้ว ลูกแก้วจะถูกแต่งหน้าแต่งตัวอีกครั้งหนึ่งแล้วอุ้มขึ้นหลังม้าแห่ลูกแก้วไปแอ่ว คือไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่หรือชาวบ้านที่มียศศักดิ์มีหน้ามีตา เมื่อถึงบ้านท่านเหล่านั้นแล้วจะอุ้มลูกแก้วและขันผูกข้อมือขึ้นบนเรือน เจ้าของบ้านจะถือเป็นเกียรติและบุญอย่างยิ่งที่ลูกแก้วเข้าบ้านขึ้นเรือน ท่านจะให้พรผูกข้อมือ และใส่เงินทองลงไปในขันผูกข้อมือด้วย พิธีบวชจะทำกันตั้งแต่รุ่งเช้าก่อนฟ้าสาง เมื่อบวชเสร็จก็เป็นเวลารุ่งอรุณพอดี เจ้าภาพจะจัดถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ พระสงฆ์อนุโมทนาเป็นอันเสร็จพิธี หลังจากนั้นพ่อแม่ญาติพี่น้องจะรวมกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อถวายข้าวของต่างๆที่ผู้ที่ร่วมทำบุญรวมถึงปัจจัยเงินทองต่างๆให้แก่สามเณร สามเณรที่บวชใหม่จะต้องอยู่กรรม คือบำเพ็ญศีลภาวนาในวิหารเป็นเวลา ๓ วัน หรือ ๗ วัน ก่อนนอนทุกคืนเณรใหม่จะนั่งภาวนานับประคำ ๑๐๘ จบ แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว และอุทิศบุญอันเกิดจากการบวชให้กับพ่อแม่ของตนการบวชในปัจจุบัน เนื่องจากในปัจจุบันเด็กส่วนใหญ่เข้ารับการศึกษาในระบบโรงเรียน ความนิยมในการบวช จำนวนเด็กที่บวชลูกแก้วจึงมีน้อยลง มีเฉพาะโรงเรียนพระปริยัติธรรมเท่านั้นที่ยังคงจัดให้มีการบวชสามเณรเป็นประจำทุกปีเพื่อให้เข้ามาเป็นนักเรียนในโรงเรียน ซึ่งปรากฏว่าส่วนใหญ่เป็นเด็กชาวเขาในถิ่นทุรกันดาร เช่น กระเหรียง ลัวะ เป็นต้น โดยโรงเรียนจะส่งทีมงานไปแนะแนวตามหมู่บ้านที่ห่างไกล การศึกษาในระบบเข้าไปไม่ถึง เมื่อมาบวชเป็นนักเรียนสายสามัญของโรงเรียนพระปริยัตติธรรมแล้วจะได้เรียนหนังสือฟรี มีทุนการศึกษาสนับสนุน จึงเป็นโอกาสของเด็กๆที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาจะได้เล่าเรียนและมีชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การบวชของชาวล้านนาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนั้นแบ่งเป็น ๔ อย่าง คือ๑.บวชเณรหรือบวชลูกแก้ว ชาวล้านนานิยมให้ลูกบวชเณรเมื่อมีอายุราง ๑๑ – ๑๒ ขวบ เพราะถือว่ายังไม่เคยผ่านโลกหรือเสพกามมาก่อนเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจด จะจัดพิธีอย่างเอิกเกริก ใหญ่โตดังที่กล่าวมาในตอนต้น๒.การบวชพระ นิยมบวชเมื่อมีอายุครบ ๒๑ ปี พิธีบวชพระในล้านนาไม่นิยมจัดงานใหญ่โตเหมือนกับการบวชเณร เมื่อเณรมีอายุ ๒๑ ปี บางคนแม้อายุได้เพียง ๒๐ ปี ก็สามารถบวชได้โดยนำหัวปลีมาสมทบ ๑ หัวบวกกับอายุจริงเข้าไปเป็น ๒๑ ปี เมื่อได้กำหนดวันเดือนที่จะมาบวชพระ พ่อแม่จะบอกญาติพี่น้องช่วยกันรับเป็นเจ้าภาพเครื่องไทยทานถวายพระสงฆ์ในวันบวช นอกจากเครื่องไทยทานแล้วยังต้องเตรียมเครื่องอัฐบริขารอย่างอื่น เช่น บาตร จีวร ไม้เท้า พัดใบตาล เข็มเย็บผ้า ที่กรองน้ำ เป็นต้น หลังจากนั้นจะให้สามเณรนั้นสึกออกไปเป็นฆราวาส ๓ วันหรือ ๗ วันก่อนแล้วจึงนุ่งผ้าขาวเตรียมบวชพระ เณรที่สึกออกไปจะยังมีศีลอยู่ บางคนยังผูกผ้าเหลืองไว้ในเสื้ออีกทีหนึ่ง เพราะกลัวว่าจะขาดเพศสามเณร จากนั้นจึงเข้าพิธีอุปสมบทต่อไป๓.การบวชจูงศพ เมื่อมีพ่อแม่ญาติพี่น้องเสียชีวิต ลูกหลานที่เป็นชายจะบวชเณรหน้าศพแล้วจูงศพไปสู่ป่าช้าเพื่อฌาปนกิจ แล้วกลับมาอยู่อยู่วัด ๓ - ๗ วันใช้เวลาที่บวชนี้บำเพ็ญศีลภาวนา แล้วกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลไปให้ผู้ที่ล่วงลับไป๒.การบวชเป็นผ้าขาว ชายบางคนเมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้วปฏิบัติตามพระธรรมวินัยทั้งหมดไม่ได้ก็จะลาสิกขาแล้วบวชเป็นผ้าขาว หรือบางคนเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วเบื่อในชีวิตฆราวาส จึงบวชเป็นผ้าขาว เพราะมีวัตรปฏิบัติง่ายกว่าบวชพระ เมื่อบวชถือศีล ๘แล้วอาศัยอยู่ในวัด มีบริขารคล้ายกับพระสงฆ์เพียงแต่ใช้ผ้าขาวนุ่งห่มขาวเท่านั้น หากมีวัตรปฏิบัติชอบก็เป็นที่นับถือของชาวบ้าน เช่น ครูบาขาวปี เป็นต้น การบวชของชาวล้านนาในสมัยโบราณ มีวัตถุประสงค์เพื่อการประพฤติวัตรปฏิบัติธรรม แต่ในสมัยต่อมาการบวชถือเป็นเพียงประเพณีไป แต่อย่างน้อยเด็กจะได้รับการอบรมบ่มนิสัยให้เป็นคนดี เมื่อพ่อแม่มีลูกเป็นพระเป็นสามเณรจะทำสิ่งที่เป็นบาปเป็นกรรมก็เกิดความละอาย เกรงชาวบ้านจะนินทาว่าเป็นแม่พระแม่ตุ๊แล้วยังทำบาปอีก การบวชลูกแต่ละครั้งพ่อแม่ต้องเสียสละทั้งข้าวของเงินทองและเวลาในการทำมาหากิน แต่เมื่อลูกได้บวชแล้วพ่อแม่ก็ปลื้มใจจนลืมความทุกข์ความลำบากในการจัดงานไปสิ้น ภาพถ่ายประกอบบทความโดยผู้เขียนงานอุสมบทพระมหาวรายุทธ จิรญานเมธีและงานบรรพชาสามเณรโรงเรียนธรรมเมธีศึกษา