การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอย่างยิ่ง ทำให้การจ้างงานลดลงมาก และกระทบต่อกำลังซื้ออีกด้วย แต่ตอนนี้จะเห็นได้ว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในประเทศไทยลดลงอย่างมาก บางวันยอดผู้ติดเชื้อ 5 ราย บ้าง 3 ราย บ้าง หรือบางวันไม่มีผู้ติดเชื้อเลย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี ทำให้ภาครัฐคลายมาตรการปลดล็อก พร้อมกลับลดเวลาเคอร์ฟิวเป็น 5 ทุ่ม ถึง ตี 4 ซึ่งส่งผลดีต่อภาคธุรกิจ โดยแต่ธุรกิจย่อมมีการฟื้นตัว ช้า-เร็ว แตกต่างกันไป โดยอาจแบ่งการฟื้นตัวของภาคธุรกิจเป็น 3 กลุ่มดังนี้ 1. กลุ่มธุรกิจฟื้นแบบ V-Shape (ภายในระยะเวลา 3 เดือน) เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคทั้งขายปลีกและขายส่งจะฟื้นฟูกลับมาเร็วที่สุด ธุรกิจโรงพยาบาล/ คลินิกและยารักษาโรค ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ไอทีและสื่อสาร ซึ่งกลุ่มนี้จะมีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันและพึ่งพิงตลาดในประเทศเป็นหลัก 2. กลุ่มธุรกิจฟื้นแบบ U-Shape (ในช่วง 3-6 เดือน) เช่น การบริการธุรกิจ รับเหมาก่อสร้าง อาหารและเครื่องดื่ม การขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางบกและทางเรือ เครื่องใช้ไฟฟ้า พลังงาน ซึ่งกลุ่มนี้จะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจใช้เวลาบ้างกว่าการคลายล็อกดาวน์จะครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3. กลุ่มธุรกิจฟื้นแบบ L-Shape (มากกว่า 6 เดือน) เช่น การท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจการบิน ยานยนต์และชิ้นส่วน อสังหาริมทรัพย์ สินค้าแฟชั่น โดยกลุ่มนี้อาจจะต้องรอการฟื้นฟูถึงปีหน้า แม้ว่าภาครัฐได้คลายล็อกดาวน์แล้ว แต่ธุรกิจยังมีผลกระทบอยู่ จากพฤติกรรมของผู้คนที่เปลี่ยนไป หรือ New normal และยังได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่หดหายไปอีกด้วย ซึ่งธุรกิจนี้ภาครัฐควรยื่นมือมาช่วยเหลืออย่างจริงจัง จากการประเมินการฟื้นของธุรกิจหลังปลดล็อก COVID-19 ทำให้นักลงทุนหุ้นรวมถึงผม อาจใช้ในการวิเคราะห์ที่จะลงทุนหุ้นในแต่ละตัว สำหรับหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่ฟื้นแบบ V-Shape ก็จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ แต่เนื่องจากตอนนี้หุ้นหลาย ๆ ตัวในกลุ่มนี้ได้บวกขึ้นไปสูงแล้ว เพราะฉะนั้นอยู่ที่การตัดสินใจและการวิเคราะห์ด้วยตัวเองของแต่ละคนครับ ว่าถ้าลงทุนไปตอนนี้แล้วหุ้นตัวนั้นจะมีโอกาสโตได้อีกเท่าไหร่ อ้างอิง ขอบคุณภาพปก freepik ขอบคุณภาพประกอบที่ 1 pixabay ขอบคุณภาพประกอบที่ 2 pixabay ขอบคุณภาพประกอบที่ 3 pixabay ขอบคุณภาพประกอบที่ 4 pixabay