การพลัดพราก:ธรรมของโลก (บทความสุขภาพจิต) “ไม่มีลูกหนูอยู่ไม่ได้คะ ขอตายตามลูกไปดีกว่า หนูทำใจไม่ได้จริงๆที่ลูกต้องมาตายก่อนแม่ ลูกควรเป็นคนทำศพแม่ ไม่ใช่แม่ทำศพลูกคะ” นั่นเป็นประโยคที่ผู้เขียนได้ยินเป็นประจำจากคุณแม่ที่มารับการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตที่มีความเครียด ความวิตกกังวล และซึมเศร้าอันเกิดจากลูกเสียชีวิตก่อนตนเอง ผู้เขียนรับฟัง ฟัง ฟัง ให้เขาได้ระบายอารมณ์และความคิดในแง่มุมที่เขาคิดและเชื่อออกมาโดยไม่ไปขัดขวางใดๆ อีกทั้งยังชวนเขาสำรวจความคิดความรู้สึก ความคาดหวังและความหวังในชีวิตโดยเฉพาะที่มีต่อลูก และความหมายของการมีลูก สิ่งหนึ่งที่ผู้รับบริการปรึกษาพูดตรงกันแทบทุกรายก็คือ “ลูกไม่ควรมาตายก่อนแม่” นั่นเป็นชุดความคิดหลักของคุณแม่เหล่านั้น และเมื่อถึงประโยคนี้ทีไร หากเขาเป็นพุทธศาสนิกชนผู้เขียนจะปรับการให้การปรึกษาเป็นแนวพุทธจิตวิทยาทันที และเมื่อถึงจังหวะที่เขามีอารมณ์สงบและพร้อมที่จะรับฟัง ผู้เขียนก็มักจะเล่าประวัติของพระภิกษุณีกีสาโคตมีให้ฟังเพื่อชวนเขาปรับมุมมอง(reframing)ซึ่งเป็นหลักการอย่างหนึ่งในการให้บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและการทำจิตบำบัดนั่นเอง พระกีสาโคตมีเถรี นางเกิดในสกุลยากจนทรัพย์ เป็นวงศ์ต่ำในกรุงสาวัตถี มีชื่อว่าโคตมี ต่อมานางได้แต่งงานกับชายในสกุลมีทรัพย์จึงถูกคนในสกุลสามีดูแคลนว่ายากจนเข็ญใจ จวบจนเมื่อนางให้กำเนิดบุตรน้อย คนในสกุลจึงให้การยอมรับและยกย่อง แต่บุตรก็ต้องมาตายลงในวัยที่พึ่งเริ่มวิ่งเล่นได้ นอกจากนางจะเศร้าโศกแล้วนางยังทุกข์หนักขึ้นไปอีกเมื่อคิดว่านางได้รับการยอมรับจากสกุลสามีก็เพราะมีลูก เมื่อสิ้นสูญลูก ลาภสักการะที่เคยได้ก็จะไม่มีอีกต่อไป ต่อมาเมื่อคนในเรือนพยายามจะนำร่างบุตรของนางไปทิ้ง แต่นางไม่ยอมจึงอุ้มศพลูกเที่ยวไปตามบ้านเรือนเพื่อขอยาให้คนช่วย คนเหล่านั่นก็ดีดมือไล่และกล่าวว่า ยาสำหรับคนที่ตายแล้วไม่มีใครเคยเห็นหรอก แต่นางก็ไม่เข้าใจในความหมายของคำพูด กระทั่งมีผู้ที่รู้ว่าจิตของนางกำลังฟุ้งซ่านพูดเพ้อเจ้อเพราะความเศร้าโศก มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นจักทรงทราบวิธีแก้ไข จึงกล่าวว่า “คนที่รู้จักยาที่จะช่วยบุตรของเธออยู่ในวิหารใกล้ๆนั่นเอง เธอจงไปทูลถามเถิด” นางจึงรีบอุ้มบุตรที่ตายแล้วตรงไปยังที่นั่น อนึ่งอาการดังกล่าวของนางในจิตเวชศาสตร์แผนปัจุบันเรียกว่า adjustment disorder with depressed mood นั่นเอง เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงเห็นอุปนิสัยของนางแล้ว จึงตรัสให้นางไปหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายเพื่อนนำมาทำยา นางเดินไปถามถึงบ้านหลังที่สามก็ยังหาไม่ได้ จึงคิดว่าแม้เดินทั่วพระนครก็คงไม่มี เมื่อรู้ว่าพระพุทธเจ้าผู้อนุเคราะห์ตรงเหตุที่แท้จริงแล้วก็เกิดความสลดใจ จึงเดินไปที่ป่าช้าเอามือจับลูกแล้วพูดว่า “แน่ะลูกน้อยแม่คิดว่าความตายนี้เกิดขึ้นแก่เจ้าเท่านั้น แต่ว่าความตายนี้ไม่ได้มีแต่เจ้าคนเดียวแต่มีเป็นธรรมดาแก่คนทั่วไป” นางจึงทิ้งลูกไว้ในป่าช้าแล้วกล่าวคาถาว่า “ธรรมนี้นี่แหละคือความไม่เที่ยง มิใช่ธรรมของชาวบ้าน มิใช่ธรรมของนิคม(หมู่บ้าน)มิใช่ธรรมของสกุลเดียว แต่เป็นธรรมของโลกทั้งหมด พร้อมทั้งเทวโลกด้วย” จากนั้นนางจึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลให้ทราบเรื่องทั้งหมด ขอให้พระพุทธองค์ทรงเป็นที่พึ่งด้วย พระพุทธองค์ตรัสว่า “มฤตยูย่อมพาเอานรชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์เลี้ยง ผู้มีใจข้องอยู่ในอารมณ์ต่างๆไป เหมือนห้วงน้ำใหญ่พัดเอาชาวบ้านที่หลับไหลอยู่ไปฉะนั้น” จบพระคาถานางก็บรรลุโสดาปัตติผล ทูลขอบรรพชา พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้อุปสมบทที่สำนักภิกษุณี โดยในขณะที่นางกำลังทำวิปัสสนาอยู่นั้นพระพุทธเจ้าก็เเปลงพระรัศมีมาตรัสว่า “ผู้ใดไม่เห็นอมตบท(นิพพาน)พึงเป็นอยู่ตั้งหนึ่งร้อยปียังไม่ประเสริฐ ผู้เห็นอมตบทเพียงวันเดียวยังประเสริฐกว่า” เมื่อจบพระคาถานางก็บรรลุอรหันต์เป็นพระกีสาโคตมีเถรี เมื่อเล่าเรื่องนี้จบ ผู้เขียนก็มักจะกลับมาย้ำคำพูดของพระกีสาโคตมีที่ว่า “ธรรมนี้นี่แหละคือความไม่เที่ยง มิใช่ธรรมของชาวบ้าน มิใช่ธรรมของนิคม มิใช่ธรรมของสกุลเดียว แต่เป็นธรรมของโลกทั้งหมดพร้อมทั้งเทวโลกด้วย” และชวนผู้ที่สูญเสียลูกร่วมแสดงความคิดเห็นต่อประโยคดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นการปรับมุมมองต่อการตายในทางธรรมได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้รับบริการปรึกษารู้สึกสบายใจขึ้นได้เป็นอย่างดี และหากผู้รับบริการปรึกษาพูดประโยคที่ว่า “ทำไมลูกต้องมาตายก่อนแม่และทำไมมาตายก่อนวัยอันควร” ผู้เขียนก็จะกลับไปย้ำประโยคของพระกีสาโคตมีที่ว่า “ธรรมนี้นี่แหล่ะคือความไม่เที่ยง” นั่นคือเมื่อไม่เที่ยง มนุษย์แต่ละคนจึงอาจตายเมื่ออายุเท่าไหร่ก็ได้ และลูกอาจตายก่อนแม่หรือแม่อาจตายก่อนลูกก็ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นที่ต่างคนต่างได้สร้างสมต่างกันมานั่นเอง และความทุกข์จากการตายของลูกที่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้เพราะเป็นความไม่เที่ยงนี้เอง ที่ส่งผลให้พระกีสาโคตมีออกบวชเป็นพระภิกษุณีและเจริญกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งบรรลุเป็นพระอรหันต์ดับทุกข์ดับกิเลสได้โดยสิ้นเชิง ดังนั้นความพลัดพรากและการตายซึ่งเป็นธรรมที่ไม่เที่ยงนี้นี่เอง เมื่อเกิดขึ้นกับผู้ใด หากเข้าถึง เข้าใจ ด้วยใจที่เป็นธรรม ก็จะทำใจได้ แม้จะทุกข์แต่ก็จะปรับตัวปรับใจอยู่ได้ในที่สุด เพราะการพลัดพรากเป็นธรรมของทั้งโลกและเทวโลกนั่นเองเครดิตภาพปกจาก : Daria-Yakovleva / pixabay ภาพที่1จาก : Dominic_winkel /pixabay ภาพที่2จาก : RichardMc / pixabay ภาพที่3จาก : Perlinator / pixabay ภาพที่4จาก: truthseeker08 /pixabay บรรณานุกรมสถาบันบันลือธรรม. 40ภิกษุณีพระอรหันต์. กรุงเทพฯ: ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม, 2551.จำลอง ดิษยวณิช. จิตวิทยาการดับทุกข์. เชียงใหม่: กลางเวียงการพิมพ์เชียงใหม่, 2544.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์. ปาฏิหาริย์แห่งการสำนึกรู้คุณ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อัมรินทร์ธรรมะ, 2552.รศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญานักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊คประธานสถาบันพัฒนาบุคลากรwuttipong academy ,ไอดีไลน์ac6555 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !