การรวมศูนย์อำนาจในยุโรปเริ่มเกิดปัญหาขึ้นในช่วงยุคกลาง ซึ่งรัฐมีสภาพการปกครองด้วยเจ้าที่ดินหลายๆคน และมีเจ้าที่ดินที่พยายามตั้งตนเป็นกษัติรย์ ซึ่งเจ้าที่ดินคนอื่นๆมิได้ยอมรับอำนาจศูนย์กลางเท่าใดนัก แม้อำนาจศูนย์กลางจะสามารถแต่งตั้งญาติพี่น้องของตนเข้าไปปกครอง แต่ก็ไม่สามารถสืบทอดอำนาจไว้ได้ (เคานต์ : Count) อีกทั้งที่ดินยังถือเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญที่สุด จนเกิดสงครามระหว่างเจ้าที่ดิน ทำให้มีการให้ความสำคัญกับขอบเขตพื้นที่ และอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนมากยิ่งขึ้น อันเป็นพื้นฐานของรัฐที่มีอาณาเขตชัดเจนจึงนำมาสู่การใช้ความรุนแรงซึ่งถือเป็นความจำเป็นสำหรับการอยู่รอดของบรรดานักรบและเมือง หลังจากศึกสงครามจึงเกิดความรุนแรงทั้งการเข่นฆ่าและการเฉือนอวัยวะปรากฏให้เห็น การทำสงครามยังทำให้จำนวนผู้ปกครองลดน้อยลง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการปกครองและการสงครามให้แก่ผู้ที่ชนะ เรียกว่า กระบวนการการต่อสู้เพื่อกำจัดผู้ปกครองประกอบกับการขยายตัวของการค้าและเศรษฐกิจแบบเงินตราส่งผลให้เกิดกลุ่มกระฎุมพีมากขึ้น ปัจจัยด้านการเงินนี้เอื้อให้เกิดรัฐรวมศูนย์ และทำให้การใช้ความรุนแรงต่อกันภายในรัฐกลายเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งการที่กระฎุมพีเรียกร้องที่จะจ่ายเงินแก่เจ้าที่ดินแทนการไปสงครามทำให้ท้องพระคลังของกษัตริย์เฟื่องฟูมากขึ้น ส่งผลให้กองทัพและอำนาจศูนย์กลางเข้มแข็งมากขึ้นอีกด้วย ในขณะเดียวกันสงครามยังช่วยสร้างความสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงระหว่างกษัตริย์กับประชาชนขึ้น โดยกษัตริย์ถือเป็นผู้ป้องกันอาณาจักร นำไปสู่กลไกบริหารราชการที่มีการจัดเก็บภาษี อย่างไรก็ตาม กษัตริย์ก็ไม่สามารถเก็บภาษีมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้ประชาชนต่อต้านขึ้นมาได้ตัวอย่างเช่น ประเทศฝรั่งเศส ที่มีระบอบการเมืองโดยมีองค์กรบริหารกองทัพ และการเก็บภาษีที่แข็งแกร่งจนกลายเป็นตัวแบบการบริหารแห่งแรก โดยใช้วิธีการบริหารการเงินแบบพวกกระฎุมพี ทำให้เกิดอำนาจรัฐรวมศูนย์ ที่ดินถูกรวมเป็นของกษัตริย์ ขุนนางได้รับเงินเดือน อีกทั้งกษัตริย์ยังใช้ความศิวิไลซ์เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงเพื่อถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายขุนนางผู้กับฝ่ายกระฎุมพี โดยกษัตริย์พยายามทำให้สองกลุ่มนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อกันแต่ไม่ให้ขัดแย้งกันจนเกินไป กษัตริย์จึงเป็นดั่งผู้ประสานความสัมพันธ์ทางการเมืองขอขอบคุณภาพประกอบที่1/ภาพประกอบที่2/ภาพประกอบที่3