สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกๆท่านวันนี้ผมก็จะมาเล่าเรื่องและสาระดีๆที่หลายท่านอาจจะยังไม่รู้ในสิทธิและเสรีภาพของตน โดยวันนี้ผมจะกล่าวถึงหัวข้อ "การระงับข้อพิพาทโดยการไกล่เกลี่ย คืออะไร" ภายใต้ยุทธสาสตร์กระทรวงยุติธรรมที่ว่า "ยุติธรรมถ้วนหน้าประชามีส่วนร่วม" ที่มุ่งเน้นการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในชุมชนและสังคมด้วยการป้องกันปัญหาความขัดแย้งการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตลอดจนความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเพื่ออำนวยให้เกิดความยุติธรรมอย่างทั่วถึงถูกกำหนดให้มีการพัฒนาและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการส่งเสริมการระงับข้อพิพาทและการจัดการความขัดแย้งในชุมชนภายใต้ความรับผิดชอบและดำเนินงานหลักของกองส่งเสริมการระงับข้อพิพาทที่เป็นหน่วยงานหนึ่งเพื่อมุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนาให้ชุมชนสามารถจัดการความขัดแย้งได้ด้วยสันติวิธีโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาครัฐอันนำไปสู่การลดปริมาณข้อพิพาทหรือคดีความไม่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก โดยการดำเนินงานจะเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนให้เข้ามาดำเนินกิจกรรมทั้งในเชิงป้องกันและแก้ไขผ่านสื่อบุคคลที่เป็นปราชญ์ชาวบ้านหรือผู้นำชุมชนและผู้นำศาสนาให้เข้ามาเป็นแกนประสานเครือข่ายและอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิเสรีภาพด้วยการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาแก้ไขและการจัดการปัญหาความขัดแย้งของชุมชนหรือท้องถิ่นนั้นๆที่สอดคล้องตามบริบทของแต่ละภาคของประเทศเป็นต้นระบบการระงับข้อพิพาทโดยวิธีการไกล่เกลี่ย หมายถึง บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หากเกิดข้อพิพาททางแพ่งซึ่งไม่สามารถเจรจาหาข้อยุติด้วยกันเองได้ ตกลงมอบหมายให้บุคคลที่ 3 เป็นผู้ทำการไกล่เกลี่ยหาข้อยุติเพื่อระงับข้อพิพาทโดยผู้ไกล่เกลี่ยจะทำหน้าที่เกลี้ยกล่อมและชักจูงให้คู่กรณียอมรับข้อเสนอแนะโดยความสมัครใจจนถึงขั้นตอนระงับข้อพิพาทด้วยกฏหมายนั้นเองโดยหลักการขั้นพื้นฐานของการไกล่เกลี่ยนั้น จะยึดหลักการที่ว่า ด้วยความสมเหตุสมผลและชอบด้วยกฏหมาย หลักการสมัครใจบนพื้นฐานที่เสมอภาคเท่าเทียมกัน หลักการให้ความเครพในสิทธิร้องขอของบุคคลอื่นเป็นต้น โดยจะประกอบด้วย 4 แนวทางคือ1.การไกล่เกลี่ยคู่กรณีโดยตรง2.การไกล่เกลี่ยอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชน3.การร่วมปรึกษาหารือกันเพื่อหาทางไกล่เกลี่ย4.การไกล่เกลี่ยรวมโดยหลักการแนวทางไกล่เกลี่ยนั้นจะยึดหลักการที่ว่า เข้าใจถึงปัญหาข้อพิพาทของแต่ล่ะฝ่าย สร้างความสัมพันธ์ด้วยเยื่อใย รู้สำนึกในมารยาท เข้าใจในข้อกฏหมาย ระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางปกครองแบ่งเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ1.การไกล่เกลี่ยโดยคณะทำงานภายใต้การกำกับหน่วยงานของรัฐและประชาชนท้องถิ่นนั้นๆ กล่าวคือ ในภาครัฐส่วนกลางจะจัดเจ้าหน้าที่ของรัฐลงพื้นที่หรือประจำอยู่ที่จังหวัดนั้นๆหรือเจ้าหน้าที่ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของประชาชนการไกล่เกลี่ยโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองนี้ถือเป็นการไกล่เกลี่ยนอกกระบวนการพิจารณาคดีของศาล2.การไกล่เกลี่ยโดยองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามที่กฏหมายกำหนดไว้เป็นการเฉพาะซึ่งได้แก่การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านแรงงาน การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางเศรษฐกิจและการไกล่เกลี่ทางด้านแพ่งซึ่งการไกล่เกลี่ยโดยฝ่ายปกครองดังกล่าวนี้ถือเป็นการไกล่เกลี่ยนอกกระบวนการพิจารณาคดีของศาลเมื่อคู่กรณีตกลงกันได้ก็ให้ผู้ประนอมข้อพิพาทบันทึกสัญญาประนีประนอมยอมความ โดย ให้คู่กรณีลงลายมือชื่อนั้นไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนและมอบให้คู่กรณียึดไว้ฝ่ายละ 1 ฉบับ และอีกฉบับให้เก็บไว้ที่อำเภอที่ทำการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหากคู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญายอมความพิพาทตามที่ตกลงตามสัญญาบันทึกประนีประนอมยอมความนั้น ให้คู่พิพาทอีกฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องต่อพนักงานอัยการเพื่อบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมและให้พนักงานอัยการดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อให้ออกคำบังคับให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้เลยโดยมิจำเป็นต้องนำสัญญาไปฟ้องบังคับต่อศาลก่อน "ผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของพนักงานปกครอง" (อำเภอ)ข้อดีของการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท1.ไม่ต้องเสียเวลาไปขึ้นศาล2.ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ3.ปัญหาทุกอย่างสามารถจบลงด้วยดีที่อำเภอหรือหน่วยงานในท้องถิ่นนั้นๆบทบาทของผู้ที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยเป็นคนกลางและหาวิธีช่วยให้คู่ความทั้งสองฝ่ายกลับคืนสู่สภาพเดิมคือระงับข้อพิพาทกล่าวคือทำทุกวิธีการที่ทำให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ให้ได้ทั้งสองฝ่ายยอมรับในหลักการและวิธีการของผู้ไกล่เกลี่ยโดยใช้วิธีนำคู่กรณีที่พิพาทมาพบกันเพื่อเปิดโอกาสให้พูดคุยเจรจรซึ่งกันและกันช่วยขจัดความไม่เข้าใจที่มีต่อกันเกี่ยวกับการขจัดปัญหาอุปสรรคต่างๆเพื่อหาแนวทางแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปสู่สันติวิธีโดยช่วยค้นหาต้นเหตุของปัญหาและนำทางแก้ปัญหาเสนอคู่กรณีที่มีความพิพาทกันนั้นช่วยเพิ่มเติมข้อมูลที่สมควรเป็นประโยชน์ต่อข้อพิพาทระงับหรือตัดปัญหาที่จะส่งผลกระทบให้เกิดความยุ่งยากนั้นให้หมดไปโดยเร็วและดำเนินการให้การเจรจานั้นเป็นไปด้วยความสงบสุภาพเรียบร้อยต่อคู่กรณีและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องหากการเจรจาข้อพิพาทล้มเหลวหรือไม่สามารถระงับได้สามารถเรียกบุคคลที่เป็นบุคคลภายนอกคู่กรณีนั้นยอมรับช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยได้เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนแนวทางไปในทิศทางที่ดีและช่วยให้สามารถหาทางออกของปัญหาที่พิพาทนั้นอย่างเป็นที่พอใจที่ดีที่สุดของทุกฝ่ายทางผู้เขียนมีความคิดเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติงานทุกสาขาอาชีพ สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือเรื่อง "จรรยาบรรณ" ในการกระทำใดๆในหน้าที่ของตนหรือความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ของตนและการวางตนต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องในข้อพิพาทนั้นๆ เพื่อความเป็นกลางและรักษาความเป็นกลางให้เป็นจริง เมื่อคู่กรณีเสนอข้อพิพาทสู่คณะอนุญาโตตุลการ ก่อนที่คณะอนุญาโตตุลาการจะทำการชี้ขาดคณะอนุญาโตตุลาการนั้นสามารถดำเนินกระบวนการพิจารณาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่กรณี หากไกล่เกลี่ไม่สำเร็จ ให้คณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามข้อพิพาทของทั้งสองฝ่ายต่อไป....."สร้างความสัมพันธ์ที่ดีมีมิตรภาพเครพกฏหมายและกติกาทางสังคม".....สวัสดี ^^โปรดติดตามข่าวสารดีๆ : Kreangkai E.เขียนบทความโดย อาจารย์เกรียงไกร เอกเกื้อบุญ B.P.S & B.P.A***ขอบคุณ******เครดิตภาพ***-รูปภาพ- ประกอบหน้าปก ศาลยุติธรรม-รูปภาพ- ประกอบที่ 1 qimono/pixabay-รูปภาพ- ประกอบที่ 2 geralt/pixabay -รูปภาพ- ประกอบที่ 3 Alexandra_Koch/pixabay-รูปภาพ- ประกอบที่ 4 Fotorech/pixabayผู้ที่สนใจปรึกษาการระงับข้อพิพาทสามารถขอรับบริการได้ที่ส่วนกลางกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ (ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น) ส่วนภูมิภาค"คลินิกยุติธรรม" ตั้งอยู่ ณ สำนักงานยุติธรรมจังหวัด (ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !