การเตรียมตัวเป็นนักศึกษาปี 1 บทความการเตรียมตัวเป็นนักศึกษาปี 1 เป็นบทความที่จะบอกถึงแนวทางการเตรียมตัว การใช้ชีวิต การทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือแม้กระทั่งการบอกถึงการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในชีวิตอีกด้วย สิ่งใหม่ที่นักศึกษาปี 1 ต้องพบเจอการขึ้นมหาลัยเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป เช่น การคบเพื่อนใหม่ ๆ, การไปในสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน, การเรียนสาขาวิชาที่ไม่เคยเรียนมาก่อน หรือแม้กระทั่งการแต่งกายที่ต้องเปลี่ยนแปลงไป จากที่ต้องแต่งชุดนักเรียนเรียนทุกวัน ก็ต้องเปลี่ยนมาแต่งชุดนักศึกษา ซึ่งชุดนักศึกษาเป็นชุดที่ใครหลาย ๆ คนก็อยากลองใส่กันการเจอเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทำให้ต้องเริ่มศึกษานิสัยใจคอกันและกัน การทำความรู้จักหรือศึกษานิสัยใจคอของเพื่อนใหม่เป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับยุคโควิดที่ต้องเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน เป็นเรื่องยากที่จะรู้ถึงนิสัยใจคอเพื่อนจริง ๆ แต่ก็มีเรื่องง่ายบ้างที่หากเราอยากรู้จักใครก็แค่ทักแชทไป คุยกันในเฟส ไลน์ หรือไอจี แต่การเจอหน้าคร่าตากันก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเราอาจจะรับรู้น้ำเสียงผ่านตัวอักษรได้ก็จริง แต่เราไม่รู้จริง ๆ ว่าความรู้สึกที่แท้จริงของคนคนนั้นเป็นอย่างไร การมีปฏิสัมพันธ์กันโดยเจอหน้าจึงดีกว่าการแชทในโลกออนไลน์การพบเจอสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย การเรียนมหาลัยเป็นครั้งแรก เราก็ต้องเจอกับการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบตัวไปเสียทั้งหมด นักเรียนบางคนฝันใฝ่ที่จะได้เรียนมหาวิทยาลัยไกล ๆ บ้าน มหาวิทยาลัยดัง ๆ หรือแม้กระทั่งบางคนก็อยากเรียนอยู่ใกล้บ้าน เพราะไม่ชอบการไปที่ไกล ๆ ไม่ชอบความยากลำบาก แต่บางคนก็ชอบการผจญภัยหรือชอบการแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง เมื่อเราได้เริ่มต้นเรียนมหาวิทยาลัยเราก็ต้องมีความรู้สึกไม่คุ้นเคยกับสถานที่ที่เราไปเรียน เพราะเราเห็นมันเป็นครั้งแรก หลาย ๆ คนไปเรียนเป็นครั้งแรกแต่ก็หาตึกไม่เจอบ้าง หาโรงอาหารไม่เจอบ้าง เพราะเราเจอสิ่งใหม่ ๆ ที่ต้องใช้เวลาปรับตัวสำหรับการเรียนออนไลน์ในยุคโควิด หลายมหาวิทยาลัยก็ให้นักศึกษาไปเรียน ณ สถานที่ตั้งได้บ้าง แต่บางมหาวิทยาลัยก็มีมาตรการป้องกันโควิด19 โดยให้นักศึกษาเรียนออนไลน์ 100% เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อ ซึ่งผู้เขียนเองก็ได้เรียนออนไลน์ 100% ทำให้ไม่ได้เจอเพื่อนใหม่เลยสักครั้ง และไม่เคยไปมหาวิทยาลัยเลยตั้งแต่ขึ้นปี 1 การทำงานกลุ่ม การทำงานกลุ่มในระดับมหาวิทยาลัยนั้นมีเยอะพอสมควร หากเราทำงานเดี่ยวก็จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมาก แต่หากเราได้ทำงานกลุ่ม ก็อาจจะมีปัญหาต่าง ๆ บ้างบางครั้ง เพราะการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจะต้องทำงานที่แตกต่างไปจากที่เคยทำในระดับมัธยม เพื่อนใหม่ที่อยากจะพึ่งเคยทำงานร่วมกันเป็นครั้งแรก ทำให้อาจจะเกิดปัญหาภายในกลุ่มได้ เพราะฉะนั้นเราจึงควรพูดสื่อสารกันในทุก ๆ เรื่อง เพื่อลดปัญหาที่จะตามมาในกลุ่ม การพูดตรง ๆ จะทำให้งานราบรื่นมากกว่า แต่ถ้าหากเราไม่กล้าพูด ไม่กล้าคิด ไม่กล้าแสดงออกก็จะทำให้งานเกิดปัญหาตามมาทีหลังได้ การดูแลเอาใจใส่ของอาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัย ในระดับมัธยมอาจารย์จะคอยย้ำเตือนเรื่องการส่งงาน หากคะแนนไม่ผ่านก็จะให้มีการแก้ตัว แต่ในระดับมหาวิทยาลัย อาจารย์จะไม่มานั่งบอกว่าเราขาดงานนั้นงานนั้น ไม่บอกว่าเราขาดกี่คะแนน ถ้าสอบตกกลางภาคก็จะให้แก้บ้างแต่ก็มีบางวิชาที่ไม่สามารถแก้ได้ ในระดับมหาวิทยาลัยเราต้องรับผิดชอบชีวิตตนเอง เพราะจะไม่มีใครมาคอยบอก คอยเตือนว่าต้องทำนั่นทำนี่ ยกเว้นเสียแต่จะมีเพื่อนมาคอยเตือนว่าให้ส่งงาน บางวิชาจะไม่บอกคะแนนว่าเราได้เท่าไหร่แต่เขาจะบอกในวันที่เกรดออกเลย ทำให้เราต้องลุ้นว่าเราจะได้คะแนนเท่าไหร่ คะแนนเราจะผ่านไหมหรือเราจะได้เกรดเท่าไหร่วิชาและเนื้อหาการเรียนแตกต่างจากมัธยม ในเทอมแรกของการเรียนมหาวิทยาลัย วิชาหรือเนื้อหาการเรียนต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลงไม่มาก เพราะการเรียนเทอม 1 จะเป็นการปูเนื้อหาหรือการทบทวนเนื้อหาของระดับมัธยม การเรียนจะไม่ยากหรือเคร่งเครียดมากนัก เพราะระดับมหาวิทยาลัยจะให้พวกเราได้เตรียมตัวหรือปรับตัวกับการเป็นเฟรชชี่ก่อน การเรียนมหาวิทยาลัย ปี1 เทอม2 ก็จะเริ่มมีวิชาเฉพาะ ซึ่งเป็นวิชาที่เราต้องเรียนในสาขาที่เราเลือกที่จะเข้ามาเรียน หากเราเรียนด้านการแพทย์ เราก็จะได้เริ่มเรียนวิชาที่เกี่ยวกับการแพทย์, Anatomy, ศัพท์แพทย์ หรือแล็ปทางการแพทย์ การเรียนพวกนี้จะเป็นการปูเนื้อหาพื้นฐานให้เราได้เรียนเนื้อหาสาขานั้นได้อย่างเข้าใจมากขึ้นในปีถัด ๆ ไป ปี2,3,4ก็จะเรียนลงลึกเกี่ยวกับสาขาหรือคณะที่เราเรียน โดยจะนำเนื้อหาที่ได้เรียนในปี1 ทั้งเทอม1และเทอม2มาประกอบเป็นเนื้อหาพื้นฐานด้วย การทำงานที่ไม่เหมือนกับตอนมัธยม การทำงานในระดับมัธยม จะมีทั้งการออกไปนำเสนอหน้าห้องเรียนหรือการทำงานกลุ่มต่าง ๆ แต่การทำงานในระดับมหาวิทยาลัย เป็นการทำงานที่ยากขึ้นมาอีก เพราะจะมีทั้งงานกลุ่ม งานเดี่ยว โปรเจกต์ต่าง ๆ การทำงานในระดับมหาวิทยาลัยจะไม่ใช่การทำงานแล้วไปนำเสนอหน้าห้องอย่างเดียว แต่ต้องทำการหาข้อมูลเท็จจริงที่น่าเชื่อถือ มีแหล่งอ้างอิงที่ตรวจสอบได้ การตัดต่อวิดิโอนำเสนอ การนำเสนองานผ่านทางแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ การทำชิ้นงานที่เกี่ยวกับวิชาสาขาตนเอง ยกตัวอย่างเช่น การเรียนสถาปัตยกรรมก็ต้องทำงานออกแบบสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ต้องทำโมเดลออกมาเป็นชิ้นงานส่งอาจารย์ หรือการเรียนแพทย์แผนไทย ก็ต้องรู้จักพืชพรรณต่าง ๆ ต้องออกไปหาสมุนไพรทำรายงานหรือนำเสนอ หรือแม้กระทั่งต้องออกไปหาต้นไม้, สมุนไพรมาทำเป็น herbarium specimens หรือที่เรียกว่าการทำพรรณพืชแห้ง เพื่อเป็นการเก็บรักษาและศึกษาตัวอย่างพันธุ์ไม้ความกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อน ความกดดันในระดับมัธยมนั้นมีมาก แต่ระดับมหาวิทยาลัยก็มีเช่นกันเพราะการเรียนการสอนและการทำงานในระดับมหาวิทยาลัยจะแตกต่างกับระดับมัธยม ความกดดันในการทำงานหรือการกดดันในเรื่องคะแนนของตนเองเป็นเรื่องปกติมากในการเรียนระดับมหาวิทยาลัย ดังที่พูดไปแล้วในข้างต้น ว่าการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเราจะต้องรับผิดชอบตนเอง หากคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ก็จะติดF โดยความกดดันในเรื่องคะแนนนี้เป็นความกดดันและความเครียดที่ติดเทรนต์ของหมู่วัยรุ่นมหาวิทยาลัยกันมาก สิ่งที่ยากอีกหนึ่งสิ่งก็คือการปรับตัวกับความเครียดและความกดดันของตัวเองให้ได้ข้อสอบที่สุดหิน ข้อสอบในระดับมัธยมจะมีทั้งข้อสอบเขียนและข้อสอบกา ข้อสอบเขียนจะมีน้อยกว่าข้อสอบกา แต่ระดับมหาวิทยาลัยจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะบางวิชาก็มีข้อสอบกาอย่างเดียว บางวิชาก็มีข้อสอบกาและข้อสอบเขียนร่วมด้วย และบางวิชาก็จะมีแค่ข้อสอบเขียนเท่านั้น โดยข้อสอบเขียนนั้นจะเป็นข้อสอบที่หินที่สุด ในบางวิชาที่ผู้เขียนเรียนจะเป็นข้อสอบเขียนตอบ 60นาที 60ข้อ ซึ่งแสดงว่าเรามีเวลาคิดและเขียนหรือพิมพ์ลงไปเพียงแค่ 1 นาทีต่อข้อ ผู้เขียนเลยคิดว่าข้อสอบที่หินที่สุดก็เป็นข้อสอบเขียนอย่างแน่นอนการแบ่งเวลา การเรียนในระดับมัธยม จะมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย แต่ก็ไม่กระทบการเรียน แต่การเรียนระดับมหาวิทยาลัยถึงจะไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรมาก แต่เราก็ต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือ แบ่งเวลาติวข้อสอบเพราะข้อสอบหรือเนื้อหาการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยต่างจากมัธยม ในระดับประถมและมัธยมอาจจะคิดว่า ไม่อ่านหนังสือก็คงทำข้อสอบได้ แต่ความคิดนั้นใช้ไม่ได้กับการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เพราะถ้าเราไม่ออกก็จะสอบตกแน่นอน 100% การเปิดรับหรือติดตามข่าวสาร การเรียนมหาวิทยาลัยครั้งแรกจำเป็นต้องติดตามข่าวสารต่าง ๆ ภายในคณะอย่างใกล้ชิด เพราะจะไม่มีคนมาคอยเตือน เราต้องรับผิดชอบตัวเองแบบ 100% ทั้งเรื่องการเข้าไปประเมินการเรียนการอสน หากไม่ประเมินเกรดก็จะไม่ออก, การเข้าไปดูการประกาศทุนต่าง ๆ, การเข้าไปชำระค่าเทอมในระบบของมหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งการเข้าไปติดตามข่าวสารเกี่ยวกับตัวเองในเว็บไซต์มหาวิทยาลัยกิจกรรมต่าง ๆ ในระดับมหาวิทยาลัยนั้นไม่มีอะไรมากนัก หรือเพราะอาจจะเป็นช่วงเรียนออนไลน์ในสถานการณ์โควิด19 เลยไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรมากนักก็เป็นได้ กิจกรรมที่มีในมหาวิทยาลัยก็อาจจะมีการรับน้องอย่างสร้างสรรค์ หรือการตามหาพี่รหัส, น้องรหัสกัน กิจกรรมต่าง ๆ นั้นเราสามารถเข้าร่วมโดยสมัครใจด้วยตัวเอง เพราะหากเราสนใจก็อาจจะมีชมรมต่าง ๆ มากมายที่เปิดรับการทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ สุดท้ายนี้ผู้เขียนก็อยากบอกน้อง ๆ ทุกคนที่กำลังเตรียมสอบหรือกำลังจะมาเป็นเฟรชชี่ว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เราเคยเจอมาในระดับมัธยม อาจจะแตกต่างจากระดับมหาวิทยาลัย แต่อย่าไปกลัว เพราะคนเราก็ต้องการเวลาในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ อยู่แล้ว จึงขอให้ทุกคนโชคดีกับการเริ่มต้นใหม่ในครั้งนี้ (ภาพถ่ายจากนักเขียน : หมั่นโถว ) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !