การแจ้งย้ายที่อยู่ต่อทางราชการเป็นสิ่งที่หลายท่านเคยผ่านกันมาบ้าง แต่ประสบการณ์ของแต่ละท่านคงมีทั้งแบบที่ดีจนน่าประทับใจและบางครั้งคงมีตกใจจนร้องอุทานกันบ้าง ซึ่งความแตกต่างนั้นเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การสื่อสารที่ผิดพลาดหรือความไม่เข้าใจกันในตัวบทกฎหมาย ระเบียบของทางราชการที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เป็นต้น การย้ายที่อยู่เป็นส่วนหนึ่งในพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร โดยฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมจากฉบับปี พ.ศ. 2534 ชื่อเต็มก็คือ พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติม ถึงฉบับที่ 3 พ.ศ.2562 ซึ่งได้ปรับปรุงแก้ไขเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนผู้มาขอรับบริการจากเดิมเป็นอย่างมาก การแจ้งย้ายที่อยู่ในปัจจุบันมี 3 รูปแบบคือการแจ้งย้ายออก การแจ้งย้ายเข้า และการแจ้งย้ายปลายทางอัตโนมัติ ในส่วนของตอนที่ 1 นี้ ผู้เขียนจะพูดถึงการย้ายออกเพียงเท่านั้นก่อน การแจ้งย้ายออก คือ การยื่นคําขอแสดงเจตนาในการเปลี่ยนภูมิลําเนาโดยการย้ายออกจากที่อยู่เดิม โดยแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่าจะย้ายไปที่ใด ผู้มีหน้าที่ในการแจ้งย้ายออกนั้น โดยทั่วไปแล้วมี 2 บุคคล คือ ตนเอง, เจ้าบ้าน แต่ในกรณีหากบุคคลที่ต้องการย้ายที่อยู่มีอายุน้อยกว่า 15 ปีบริบูรณ์ ให้เจ้าบ้านหลังย้ายออกหรือมารดาของบุคคลที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปีบริบูรณ์นั้นเป็นผู้แจ้งการย้ายออก หลักฐานเอกสารที่ต้องจัดเตรียมก็ไม่มีอะไรมาก บัตรประจำตัวประชาชนของผู้แจ้งที่เป็นบัตรปัจจุบันและสำเนาทะเบียนบ้านเล่มสีน้ำเงินของหลังที่ตัวเองมีชื่ออยู่นั่นแหละครับ แต่ถ้าหากมีการมอบอํานาจทำการแทน ให้มีหนังสือมอบอํานาจเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมแนบสําเนาบัตรประชาชนผู้มอบอํานาจ โดยเซ็นรับรองสําเนาด้วยลายมือชื่อหรือตัวบรรจงหรือพิมพ์ลายนิ้วมือแล้วแต่กรณี ในส่วนของการแจ้งย้ายออกนี้ เป็นเพียงแต่การแจ้งย้ายออกจากทะเบียนบ้านเท่านั้น ยังไม่ได้แจ้งย้ายเข้าบ้าน ซึ่งหลังจากที่ท่านแจ้งย้ายออกจากทะเบียนบ้านเสร็จสิ้น ท่านจะได้รับเอกสารใบแจ้งการย้ายที่อยู่ (ท.ร.6) เป็น กระดาษสีเขียว 2 ใบ ซึ่งหลังจากนั้น ท่านต้องนําใบแจ้งการย้ายที่อยู่ไปย้ายเข้าบ้านหลังย้ายเข้าภายใน 15 วันนับแต่วันที่แจ้งย้ายออก เพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมการแจ้งเกินกําหนดและต้องไม่เกิน 30 วันเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกย้ายเข้าทะเบียนบ้านกลางอัตโนมัติเนื่องจากไม่ย้ายเข้าที่ใดหลังจากแจ้งย้ายออกใน 30 วัน โดยที่บ้านหลังย้ายเข้านั้นไม่ต้องเป็นบ้านที่อยู่ตามที่ท่านแจ้งไว้ในใบแจ้งการย้ายที่อยู่ก็ได้กรณีตัวอย่าง นายการันตี ยื่นคําร้องต่อสํานักทะเบียนอําเภอก่อ เพื่อขอย้ายตนเองออกจากบ้านเลขที่ 123 หมู่ 4 ตําบลไก่ อําเภอก่อ จังหวัดกิ่งแก้ว โดยแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่าจะย้ายไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 567 หมู่ 8 ตําบลไข อําเภอขอ จังหวัดขวนขวาย นายทะเบียนอนุมัติคําขอและดําเนินการแจ้งย้ายออกให้นายการันตีเสร็จสิ้นและส่งมอบใบแจ้งการย้ายที่อยู่ให้นายการันตี พร้อมสําเนาทะเบียนบ้านหลังย้ายออกที่ประทับตรา “ย้าย” หน้าชื่อของนายการันตี 10 วันถัดมา นายการันตี เปลี่ยนใจที่จะย้ายไปที่บ้านเลขที่ 567 แต่จะไปย้ายเข้าบ้านเลขที่ 890 หมู่ 1 ตําบลคอย อําเภอเคย จังหวัดแควคุ้ง จึงนําใบแจ้งการย้ายที่อยู่ไปที่สํานักทะเบียนอําเภอเคย พร้อมด้วยเจ้าบ้านเลขที่ 890 เพื่อแจ้งการย้ายเข้า นายทะเบียนอําเภอเคย ดําเนินการแก้ไขรายการส่วน “ไปอยู่ที่” ในใบแจ้งการย้ายที่อยู่และให้เจ้าบ้านและดําเนินการแจ้งการย้ายเข้าได้ตามปกติ จากกรณีตัวอย่างจะเห็นได้ว่าหากไม่สามารถย้ายเข้าบ้านหลังที่แจ้งไว้ตามใบแจ้งการย้ายที่อยู่นั้น ไม่ว่าจะกรณีหรือสาเหตุใดก็ตาม สามารถนําไปย้ายเข้า ณ สํานักทะเบียนปลายทางที่ท่านต้องการย้ายเข้าได้โดยไม่ต้องกลับมาแก้ที่ต้นทาง สําหรับการแจ้งย้ายออกนั้น ผู้เขียนขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ และยังคงหวังเหมือนเดิมว่าบทความนี้จะสามารถช่วยเหลือท่านในการติดต่อราชการเกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎรนั้นได้ไม่มากไม่น้อย *บทความนี้เล่าถึงการดําเนินการ เงื่อนไข และเอกสารเบื้องต้นในการติดต่อราชการเรื่องการแจ้งการย้ายออกโดยพื้นฐานเท่านั้น หากท่านพิจารณาแล้วเห็นว่าบทความนี้ไม่เพียงพอในการใช้เป็นข้อมูลเพื่อการดําเนินการหรือมีเงื่อนไขบางประการที่นอกเหนือจากที่กล่าวไว้ในบทความนี้นั้น ผู้เขียนขออนุญาตแนะนําให้ท่านดําเนินการติดต่อสํานักทะเบียนต้นทางหรือปลายทางเพื่อขอข้อมูลในการดําเนินการของท่านอีกครั้งหนึ่ง* กฎหมายที่เกี่ยวข้อง พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 3 พ.ศ. 2562 มาตรา 30, มาตรา 51 ระเบียบสํานักทะเบียนกลางว่าด้วยการจัดทําทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 ข้อ 75 ..... ขอบคุณภาพหัวเรื่องและภาพประกอบจาก pexels.comภาพหัวเรื่อง, ภาพประกอบที่ 1, ภาพประกอบที่ 2, ภาพประกอบที่ 3 เพิ่มเติมข้อความบนภาพปกโดยแอปพลิเคชัน Canva