กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อมะเร็งแวะมาทักทาย( ตอนที่2)หลังจากที่ดิฉันได้ตัดสินใจที่จะสู้ แล้วเริ่มต้นที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา และยอมรับสิ่งที่จะต้องตามมาในภายหลังแล้วนั้น ดิฉันก็เข้าสู่กระบวนการกำจัดจุดอ่อนที่แฝงอยู่ในตัวดิฉันเสียทีฉบับที่แล้วดิฉันได้เล่าถึงความเป็นมาเป็นไปและการเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากทางแพทย์ ด้วยการทำ แมมโมแกรม และอัลตร้าซาวด์ ซึ่งผลออกมาแล้วไม่น่าพอใจ ทางคุณหมอจึงสอบถามเพื่อให้ดิฉันได้ตัดสินใจอีกครั้งว่า จะเจาะเพื่อเอาน้ำในเซลล์ไปตรวจเพื่อการยืนยันผลอีกครั้ง ว่าเป็นก้อนเนื้อชนิดไหนหรือไม่นั้น หลังจากที่ดิฉันตัดสินใจเจาะเพื่อการยืนยันผลการตรวจ ผลออกมาในอีกหนึ่งสัปดาห์ หลังทำการเจาะ ในวันนั้น ดิฉันจำได้ว่า ตัวเองมีความเครียดไม่ใช่น้อย ความกลัวผลตรวจ และความกังวลในการรักษา เริ่มเข้ามา ในใจดิฉันคิดวกไปวนมา " ถ้าผลตรวจออกมาแล้ว เป็นก้อนมะเร็งล่ะ เราจะทำอย่างไรกันต่อ แล้วถ้าต้องเข้ารับการรักษา ลูกล่ะ ใครจะเลี้ยง แต่ถ้าไม่รักษาล่ะ ลูกจะอยู่อย่างไร" แล้วคุณพยาบาลหน้าห้องตรวจก็เรียกชื่อ ดิฉัน ณ เวลานั้น การก้าวเข้าไปฟังผลตรวจ ตัวเราเหมือนเดินฝ่าดงระเบิดในสนามรบ เลยก็ไม่ผิดนะ มันหวาดกลัว แต่มันก็ต้องก้าวเท้าเดินต่อ ระหว่างการสนทนากับคุณหมอ เพื่อรู้ผลตรวจนั้น คุณหมอได้อธิบาย ถึงลักษณะของความผิดปกติ ต่างๆเพื่อให้เราเข้าใจง่ายๆ แต่ ณ เวลานั้นดิฉัน เบลอๆ งุนงง กับคำสนทนา จับใจความได้แต่เพียงว่า "คุณแม่คะ ก้อนเนื้อที่เจอเป็นก้อนเนื้อที่ผิดปกติ มีโอกาสที่จะเป็นก้อนมะเร็งค่อนข้างสูง จากการตรวจแมมโมแกรมและ ตรวจน้ำในเซลล์ ทางการแพทย์ วินิจฉัยได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่สูงมากว่าก้อนนี้อาจเป็นเนื้อร้าย แต่คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ เดี๋ยวทางแผนกเราจะส่งคุณแม่ไปพบกับคุณหมอศัลยกรรม อีกที เพื่อพูดคุยและปรึกษาในการรักษาขั้นต่อไปค่ะ" คำว่าใจดีสู้เสือ มันถูกเอามาใช้ตลอดระยะเวลาตั้งแต่คลำเจอจนมาถึงเวลานี้ คำคำนี้มันใช้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะสิ่งที่เราพยายามปลอบใจตัวเองมาโดยตลอดว่า มันจะต้องไม่ใช่ ไม่เป็น อาจจะเป็นแค่ซีส เราต้องโชคดีสิ มันใช้ไม่ได้อีกแล้ว ดิฉันกำลังจะกลายเป็นผู้ป่วยด้วยโรค "มะเร็งเต้านม" เช่นนั้นหรือนี่หลังจากทราบผลและคุณหมอได้ทำการ ส่งไปแผนก ศัลยกรรม เพื่อพูดคุยกับคุณหมอต่อนั้น จากความเครียดมันกลายเป็นความเศร้า อารมณ์มันหม่นๆ เทาๆ เบลอๆ ระหว่างที่รอเรียกพบแพทย์อยู่นั้น ในหัวสมองผุดคำถามออกมามากมาย "เราจะทำอย่างไรต่อ คิดสิคิด เราต้องเตรียมอะไรบ้าง คิดสิ แล้วเราจะบอกกับทางครอบครัวอย่างไรดี พี่น้องเราจะตกใจ จะเครียดไหม หรือ เราจะไม่บอกดี เราจะ รักษาที่ไหนดี จะกลับไปกรุงเทพฯ ดีหรือเปล่า แล้วลูกเราล่ะ ต้องเรียนหนังสือ ช่วงปลายปีแล้วด้วย กำลังจะสอบ เราจะทำอย่างไรดี "โอ้ย ร้อยแปดพันเก้าคำถามเต็มหัวไปหมด แต่ทุกคำถามที่วนไปวนมาอยู่นั้น ก็ตอกย้ำกับดิฉันอยู่ทุกๆครั้งว่า นี่ดิฉันเป็นมะเร็งหรือนี่ ซักพักเสียงคุณพยาบาลก็ขานชื่อดิฉันเพื่อเข้าพบคุณหมอ ระหว่างที่พูดคุย คุณหมอได้อธิบายถึงขั้นตอนการรักษา ว่า เราจะรักษากันไปแนวทางไหน คุณหมอจะให้เราเป็นคนตัดสินใจในการรักษาว่า จะเลือกผ่าตัดแบบไหน แล้วผ่าตัดแล้วคุณหมอจะนำชิ้นเนื้อของก้อนเนื้อที่ผ่าออกมาไปตรวจชิ้นเนื้ออีกที เพื่อดูว่า เป็นเซลล์มะเร็งชนิดไหน แล้วเราถึงจะลงลึกในการรักษาอย่างละเอียดกัน แต่ การรักษาขั้นตอนแรกคือ การผ่าตัด การผ่าตัดมะเร็งเต้านมจะมีสองแบบ คือ 1.การผ่าตัดออกทั้งเต้า คือจะตัดเต้านมออกทั้งเต้า พร้อมฉายแสง แล้วจบการรักษา2.การผ่าแบบสงวนเต้า คือการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อและเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ออก หลังการผ่าตัด รักษาด้วยเคมีบำบัด และฉายแสงต่อ จึงจบการรักษาดิฉันเลือกที่จะผ่าแบบสงวนเต้า สาเหตุที่ผ่าแบบนี้ ตอนแรกคือ แผลเล็กกว่าหายไวกว่า เราจะได้หยุดพักไม่นานกลับไปทำงานต่อได้ไว ไม่เป็นภาระกับครอบครัวด้วย คิดแค่นั้นจริงๆ และไม่คิดว่าการให้เคมีบำบัดมันจะรุนแรงอะไร มากมาย เราคิดแค่ว่าเรายังอายุไม่เยอะอาการแพ้หรืออาการอ่อนเพลียหลังได้รับยาเคมีบำบัดคงไม่รุนแรง ร่างกายเราแข็งแรงขนาดนี้ สู้ไหวอยู่นะ แต่ถ้าต้องผ่าตัดใหญ่ คือผ่าตัดเอานมข้างที่มีก้อนเนื้อออกหมด แถมเลาะต่อมน้ำเหลืองด้วย ดิฉันคิดว่า กว่าจะรักษาแผลหายและ ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อแขนหรือหน้าอกด้านนั้นมันอาจจะน้อยลงไป จึงตัดสินใจผ่าตัดแบบสงวนเต้ากับทางคุณหมอไป หลังจากพูดคุยอยู่พักใหญ่ให้ความรู้ และการดูแลตัวเองแบบคร่าวๆ เราก็ตกลงเข้ารับการผ่าตัดกันในอีก 3 อาทิตย์ถัดมาตอนต่อไปดิฉันจะมาเล่าถึงการผ่าตัดเต้านมแบบใช้ภาษาง่ายๆเช้าใจได้ให้ได้ติดตามกันนะต่อค่ะ ว่า การผ่าตัดมะเร็งเต้านมนั้น มีวิธีการผ่าแบบไหนบ้าง แล้ว เราจะดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดเต้านมแบบสงวนเต้าแบบไหนบ้างค่ะ ติดตามกันนะคะ