กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อมะเร็งแวะมาทักทาย (ตอนที่ 1)ดิฉันผู้หญิงที่ไม่ได้แข็งแกร่ง หรือโดดเด่น ต่อสายตาผู้คนทั่วไป และดิฉันก็เป็นแค่เพียงผู้หญิงวัยกลางคนที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ตัวฉันเองยินยอมและพร้อมที่จะรับกับหน้าที่นี้ ถึงแม้มันจะโดดเดี่ยวและเหนื่อยแค่ไหนดิฉันพร้อมที่จะเดินไปกับลูกชายตัวน้อยวัยกำลังซน เดินต่อไปข้างหน้า ไปพร้อมๆกัน ด้วยใจที่เข้มแข็ง และพร้อมจะเดินทางไกลไปด้วยกัน ในวันที่ดิฉันตัดสินใจมีเด็กคนนี้เข้ามาในชีวิต มันเป็นวันที่ดิฉันเดินออกมาจากการมีคู่ชีวิต โดยไม่คิดเสียดาย เมื่อต้องแลกกับชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะเติบโตชีวิตเมื่อตัดสินใจเดินหน้าไปต่อ มันมักจะไม่มีจุดเลี้ยว จุดยูเทิร์นชีวิต และมันย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้แน่นอน แต่ดิฉันคิดเพียงอย่างเดียว ณ เวลานั้น คือ เราจะเดินไปข้างหน้าต่อไปพร้อมกับโอบมือน้อยๆมือนั้นตลอดเวลา จะทุกข์หรือสุขจะมีแค่เรา และเราตลอดไป ตลอดเวลาสี่ปี ดิฉันทำงานไปด้วยเลี้ยงเด็กชายตัวน้อยไปด้วย เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ดิฉันพยายามทำให้ชีวิตทั้งด้านการทำงานและการเลี้ยงดูควบคู่กันไป แต่ด้วยหน้าที่ดิฉันจำเป็นต้องหอบหิ้วลูกไปที่ทำงานด้วยทุกวัน ตลอดเวลาเกือบสองปีที่เราแทบจะไม่มีเวลาร่วมกันเลย เวลาที่มีร่วมกันจริงๆ คือเวลานอนเท่านั้น เป็นแบบนี้มาตลอด จนวันหนึ่ง ดิฉันตื่นเช้าทำภารกิจส่วนตัว ล้างหน้าแปรงฟันเหมือนทุกวันแบบปกติ แต่วันนี้มันไม่ปกติ ระหว่างอาบน้ำมือของดิฉันได้คลำไปที่หน้าอก ด้านขวาของตัวเอง แล้วรู้สึกมีก้อนอยู่เหนือฐานนม แต่ด้วยตอนนั้นไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่มีเวลาสนใจตัวเอง แต่ความกังวลมันไม่จางหายไป มีความรู้สึกตลอดทั้งวัน แต่ไม่กล้าที่จะคิด ความกลัวเริ่มเข้ามาในจิตใจ แต่ต้องปัดทิ้งออกไป ดิฉันพูดอยู่ในใจของตัวเองว่า ไม่ มันต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันแค่ต่อมน้ำนมอักเสบ ณ เวลานั้นฉันคิดได้เท่านั้นจริงๆความกังวลที่มีมันค่อยๆ สะสมทุกวันๆ กลายเป็นความกลัวที่ไม่กล้ารับรู้ความเป็นจริง ดิฉันใช้เวลาค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ตกับก้อนที่หน้าอกก้อนนี้ และปฏิเสธความจริงมาตลอด ว่ามันเป็นแค่ต่อมน้ำนมอักเสบ ประคบร้อน หรือค่อยๆ นวดมันคงยุบลง ดิฉันไม่ได้เป็นอะไร และดิฉันจะเป็นอะไรอีกไม่ได้ในตอนนี้ แต่แล้วคืนหนึ่ง เมื่อความกลัวความเป็นจริงมันแพ้ความรับผิดชอบที่ต้องมีต่อลูก ตัดสินใจคลำมันอีกครั้ง มันเป็นก้อนแข็งๆ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน และมันก็มีขนาดเท่าเดิม จากวันที่เจอเจ้าก้อนนี้เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา มันไม่ยุบ ไม่ไปไหน ยังคงอยู่ที่เดิม ดิฉันเฝ้าถามตัวเองและได้ตัดสินใจขึ้นมาได้ว่า จะไม่หนีมันอีก เราต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้ เพื่อลูกและอนาคตที่เราต้องมีร่วมกัน ดิฉันจะมัวกลัวต่อไปอีกไม่ได้แล้วนับจากวันที่เจอจนวันที่ตัดสินใจจะไปตรวจแมมโมแกรม ร่วมๆ 7 เดือน กว่าความกล้าจะมา ความกังวล ความกลัว มันไม่ลดลงไปเลย แต่เอาเถอะ ในเมื่อดิฉันต้องจัดการกับปัญหานี้จริงๆแล้ว ต้องลุยเสียที ในที่สุด การเดินทางไปโรงพยาบาล เพื่อตรวจละเอียดครั้งนี้ ดิฉันยังหอบความหวังเล็กๆ ว่าก้อนที่เจอ อาจเป็นแค่ซีส มันเป็นอะไรที่เหมือนคอยสะกดความกลัวของตัวเอง ด้วยใจที่ตุ๊มๆต่อมๆ ตลอดทาง ตลอดเวลาที่นั่งรอมันบีบความรู้สึก และความกังวลมันวิ่งวนอยู่ในหัวตลอดเวลา มันต้องไม่เป็น มันจะต้องออกมาโอเค เราคิดมากเกินไปเอง ระหว่างรอ คนไข้ที่นั่งรอคิวเรียกเข้าตรวจ เดินผ่านไปมา ทุกคนพูดคุยกัน เหมือนเคยผ่านประสบการณ์ตรวจแบบนี้มาแล้วทั้งนั้น คอยพูดคุยซักถามว่า การักษากันที่ไหน เจอคุณหมออะไร แต่ตอนนั้น ดิฉันตึงมากทั้งหัวและความคิดของดิฉัน มันวิ่งเข้าไปห้องตรวจนั้นแล้ว ตลอดเวลานั่งรอ จนในที่สุดพยาบาลเรียกเข้าห้องตรวจ เปลี่ยนชุด และเดินตามทางไปยังห้อง ทำแมมโมแกรม ห้องทำแมมโมแกรม ถ้าทำแล้วผลออกมาไม่มีอะไรจะไม่ทำอัลตร้าซาวด์ต่อ นั่นแสดงว่า คุณไม่เข้าข่ายการเป็นมะเร็ง แต่ถ้า ผลแมมโมแกรมออกมาไม่ได้ ก็ต้องอัลตร้าซาวด์อีกครั้ง เพื่อยืนยันอีกที อยากบอกว่า การทำแมมโมแกรม เหมือนการขับรถบดถนนทับหน้าอกไปทีละข้าง ตรวจเสร็จอยากตะโกนบอกพระเจ้าว่า ตัดทิ้งไปเลยเถอะ เจ็บมากจริงๆ พอตรวจแมมโมแกรมเสร็จระหว่างรอนั้น ภาวนาทั้งชีวิตว่า คุณหมอไม่เรียกเข้าห้องอัลตร้าซาวด์ แต่แล้ว มันก็ไม่เป็นจริง ผลออกมาไม่สู้ดีนัก คุณหมอเลยขอตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อยืนยันอีกที และในที่สุดจากการพูดคุยและการอธิบายอย่างละเอียดอีกครั้ง จากที่คิดไว้ ว่ามันต้องไม่เกิดขึ้นกับดิฉัน ดิฉันไม่ได้เป็นมะเร็งแน่นอน จากผลอัลตร้าซาวด์ คุณหมอต้องขอเจาะเอาน้ำในก้อนเนื้อออกมาตรวจเพื่อยืนยันผลอีกที ในความรู้สึกตอนนั้นมันยืนยันและตอกย้ำอะไรบางอย่างในคำตอบที่ดิฉันไม่อยากฟัง ไม่อยากรับรู้เข้าให้แล้วล่ะ ติดตาม ตอนที่2 ต่อไปนะคะ ว่าผลออกมาเป็นอย่างไร และจะเดินหน้าอย่างไรต่อไป เราจะใช้ชีวิตของเราต่อไปอย่างไรเมื่อ คำว่า มะเร็งเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราแล้ว