ถ้าจะนับคืนวันที่ต้องไปนอนค้างอ้างแรมต่างประเทศ ว่าไปอยู่ที่ไหนบ่อยสุด เราต้องตอบว่าเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใช่แล้วค่ะ ไม่ได้ไปเที่ยว เพราะเมืองนี้แทบไม่เคยอยู่ในโปรแกรมท่องเที่ยวของบริษัททัวร์เลย แต่เพราะเราต้องไปด้วยหน้าที่การงานแหละ บทความนี้เลยจะขอเล่าถึงความหลังฝังใจกับเมืองเก่าแห่งนี้ให้ฟังสักเล็กน้อย เอาจริงๆ เจนีวา เป็นเมืองในฝันของเรา เพราะเป็นเมืองที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของหน่วยงานที่เราทำงานอยู่ เจนีวาเป็นส่วนของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่พรมแดนติดกับฝรั่งเศส และจะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก ภาพนี้คือ สนามบินของเจนีวาที่สะกดเป็นภาษาฝรั่งเศส อันเป็นภาษาทางการของที่นี่จากบ้านเรา ไม่มีเที่ยวบินตรงไปเจนีวา ต้องบินไปต่อเครื่อง บางครั้งเราก็ไปต่อที่ลอนดอน บางทีก็เวียนนา ล่าสุดคือบินไปต่อที่แฟรงเฟิร์ต ขึ้นอยู่กับราคาตั๋ว ณ ขณะนั้นว่า สายการบินไหนราคาถูกสุด เพราะออฟฟิศเป็นคนจัดการให้แล้ว เจ้ากรรมเวลาไปที่เมืองนี้ทีไร เราไปคนเดียวทุกครั้งเลย ตอนไปครั้งแรก ก็จะงง แต่พอหลายครั้งเข้าก็เริ่มชิน ได้รู้ว่าจากสนามบินเราสามารถกดบัตรเพื่อนำมาใช้นั่งรถไฟฟรีได้ ใช้ภายในเวลาสองชั่วโมงหลังจากเดินทางมาถึงขนส่งมวลชนบ้านเขาจะเชื่อมต่อกันหมด ความที่ไปคนเดียว เราก็มักจะจองโรงแรมที่ใกล้กับใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ไม่เปลี่ยว ใกล้ห้างสรรพสินค้า ไว้ก่อน จากรถไฟที่นั่งมาจากสนามบินก็จะมาลงที่สถานี Gare de Cornavin ซึ่งเป็นสถานีใหญ่ใจกลางเมืองที่นี่ ตอนแรกเราก็ซื่อบื้อ เรียกแท็กซี่จากสนามบินให้มาส่งที่โรงแรม หมดไปเกือบสองพันบาทมารู้ทีหลัง นั่งรถไฟมาฟรีได้ แค่ลากกระเป๋าให้ทะมัดทะแมง เนียนๆ ส่วนตัวเป็นคนกลัวหลงทางมาก ถึงจะพูดภาษาฝรั่งเศสได้ ก็กลัวหลงอยู่ดี ไปครั้งแรก เราจะสังเกตโรงแรมที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟ แล้วพอครั้งต่อๆ มาที่ต้องมาทำงานอีก ก็จองโรงแรมที่เราเดินผ่าน จำชื่อได้ เพราะรู้แล้วว่าอยู่ตรงไหนแน่ ฮาส่วนมาก เราเลือกพักโรงแรมนี้ค่ะ Lido Hotel ลงจากรถไฟแล้วต้องเดินพอสมควร แต่ไม่น่ากลัว และโรงแรมอยู่ติดถนนใหญ่ ส่วนมาก เราจะเดินทางไปถึงเจนีวาเช้าวันอาทิตย์ สามารถเช็คอินที่โรงแรมได้เลย แต่ที่นั่น ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าจะปิดทำการทั้งหมด เว้นแต่ภัตตาคาร เราก็จะไปเดินเล่นแถวทะเลสาบเจนีวา หรือ ทะเลสาบเลมัง ซึ่งก็อยู่แถวนั้นนั่นเองนอกจากจะทะเลสาบน้ำใสแจ่วสีฟ้า (ตอนแรกนึกว่าทะเล ฮา) ก็จะมีเจ้าน้ำพุสูงมาก แรงดันน้ำเยอะมาก เรียกว่า Jet d'eau เราจะเห็นหน้าตาเขาบนกล่องช็อคโกแลต แม่เหล็กติดตู้เย็น ตามร้านขายของที่ระลึก เสมือนเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ อีกจุดหนึ่งคือ เก้าอี้ยักษ์สามขา ที่ต้้งอยู่หน้าสำนักงานขององค์การสหประชาชาติหรือ Palais des Nations ตรงแถวๆ นี้ก็มีน้ำพุค่ะ หน้าร้อนจะมีเด็กๆ เล่นน้ำกันราวกับสงกรานต์บ้านเราสายระโยงระยางที่เห็นกลางถนนคือ สายสำหรับรถรางค่ะ กลางเมืองนี้มีทั้งรถเมล์ รถราง รถไฟ รถยนต์ วันอาทิตย์จะมีตลาดนัดด้วย มีสินค้าแต่งบ้านมือสอง เสื้อผ้า ฯลฯ พอคลายเหงาได้อยู่ สุดท้าย ขอแนะนำหนังสือพิมพ์แจกฟรีค่ะ เราสังเกตเห็นตู้นี้ตรงป้ายรถเมล์ และ สถานีรถไฟ แล้วมีคนเดินมาหยิบ ก็เลยเอาบ้าง ที่แนะนำเพราะเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาฝรั่งเศสค่ะ เอาไว้ฝึกอ่าน เสริมสร้างคำศัพท์และสำนวนเพิ่มเติม ไปทุกครั้งจะเอากลับมาเมืองไทยทุกครั้ง เอามาเย็บเล่มรวมกันไว้เป็นที่ระลึกช่วงที่ไปอยู่ที่นั่นหนังสือพิมพ์แจกทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ค่ะ ถ้าไปแถบซูริค เบเซล จะมีหนังสือพิมพ์นี้เหมือนกัน แต่เป็นภาษาเยอรมัน จากประสบการณ์เราคือ ฤดูร้อนบ้านเขาจะร้อนมาก นอนไม่ได้เลยถ้าที่โรงแรมนั้นไม่มีเครื่องปรับอากาศ หน้าหนาวจะทรมานหน่อย ส่วนใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วงนั้นอากาศกำลังสบายค่ะ นี่ก็รอลุ้นว่า เมื่อไหร่จะได้กลับไปอีก หุหุภาพทั้งหมดที่เห็น เราถ่ายเองทั้งหมด ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะวันลาเหลือใช่ไหม อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !